เรียกว่าโดดดึ๋งมา 2 ปีเลยแหละกว่าจะได้ลงรีวิว Portland อันนี้ อาจจะไม่ได้อัพเดทข้อมูลอะไร แต่เอาไว้แชร์เป็นประสบการณ์ละกัน สำหรับ Portland ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Ozone ของอเมริกา เมืองที่สีเขียวมากๆ ทั้งจากความเป็นต้นไม้ และความรักษ์โลก เป็นเมืองแรกที่งดใช้ถุงพลาสติก
เริ่มแรกเราลงเครื่อง Los Angeles พักแวบนึงใน la เตร็ดเตร่ย่าน Hollywood กินราเมนย่าน Japan Town แล้วบินต่อมาถึง Portland ตอนดึก 4-5 ทุ่มเลย ด้วยสายการบิน Southwest เลือกที่นั่งแบบใครมาก่อนก็ได้นั่งก่อน แต่จะเรียกขึ้นเครื่องตามโซนที่อยู่บนหน้า Boarding pass เราไปถึงเร็ว เลือกที่นั่งแบบโล่งๆ เรียบร้อย ก็มีคนนั่งมาเต็มลำอยู่เหมือนกัน แต่ป้าข้างหลังที่ก็เป็นมิตร พูดคุยกะเพื่อนหน้าใหม่คนข้างๆ ตั้งแต่เครื่องออกยันจะแลนด์ดิ้ง แต่ก็ทำให้เห็นว่า คนอเมริกันเขาก็เป็นมิตร คุยกันได้ ก็คุยเม้ามอยกันยาว คนแถวหน้าป้าอย่างเราก็เลยอดหลับไปด้วย
เรานอน Airbnb ที่อยู่ค่อนไปทางนอกตัวเมืองหน่อย เพราะย่านที่พักอาศัยในอเมริกาส่วนใหญ่จะถูกแยกออกจาก Downtown พอเราไปถึงกว่าจะเอากระเป๋า กว่าจะขึ้น Tram แล้วต้องต่อรถอีก กลัวไม่ทันแน่ๆ ก็จัดการโบก cab ไปเรียบร้อย ลองสุ่มเสี่ยงเรียกจากสนามบินแบบไม่ใช้ Uber หรือ Lyft ดู ซึ่งก็โอเค พี่แท็กคนนิโกรอุตส่าห์บอกว่ามีเบอร์เจ้าของบ้านรึยัง โทรบอกเขารึยัง ให้รอจนเขาออกมารับไหม เราก็กลัวเอ๋อ เลยบอกพี่แกไปว่า อย่าห่วงจ้า สรุปกูเนี่ย หาทางเข้าบ้านไม่เจอ 555
เพราะเจ้าของบ้าน Airbnb เขาบอกไว้ว่าบ้านเขาเข้าได้ 24 ชม.เลย มาดึกแค่ไหนก็อย่าห่วง เปิดประตูหลังบ้านได้เลย ความงงคือ บ้านเขาไม่มีรั้วระหว่างบ้านเท่าไหร่ แล้ว 2 ฝั่งมีสโลป รถขึ้นไปจอดเหมือนกัน เลยสุ่มเดินไปเปิดประตู โชคดีว่าถูกบ้าน เขาก็บอกห้องมาเรียบร้อยตั้งแต่ใน message ของ Airbnb ไม่มีงง หลง แต่ความช็อคกว่าคือ ห้องน้ำประตูติด โชคดีเอามือถือเข้าไปด้วย เพื่อนเลยช่วยไว้ได้ เรียกว่าใจหายใจคว่ำในคืนนั้น
และตื่นเช้ามาเราก็ตัดสินใจกันทันทีว่า เอ้อ เราจะขับรถ เพราะเล็งมาแล้วว่าอยากขับรถ หากระทู้ ศึกษาวิธีการไว้แล้ว แต่ไม่ได้จองรถ เจ้าของบ้านแนะนำเว็บนึงไว้ เหมือน Airbnb แต่เป็นเช่ารถของคนในย่านนั้นๆ ฟีลแบบยืมเพื่อน เขาจอดไว้เฉยๆ ราคาก็จะไม่แรง แต่... เราไม่ได้ Verify แอพมาจากบ้าน เราไม่มีเบอร์ที่นี่ เลย อด!
อดแรกผ่านไป ไม่เป็นไร เปิดตึ้ดๆ เจอ Enterprise ให้จองรถวันนี้ ราคาถูก เราก็เอา อยากขับนี่หน่า 55 แต่วันนั้นวันเสาร์มั้ง สาขาที่เปิด ไปนู่นเลยจ้าาาา นั่งรถไป 45 นาที ก็รีบไปกัน โดยเทสรถประจำทางเป็นครั้งแรก เบอร์สายตามที่กูเกิ้ลแมพแนะนำ
ความน่ารักกุ๊กกิ๊กของเมืองนี้ก็เริ่มขึ้นตอนเดินไปป้ายรถเมล์ ผ่านซุปเปอร์มาเก็ต เขาก็แจกฟรีผัก ผลไม้จากสวน เราก็เดินผ่าน เชี่ย เขาแจกฟรีจริงเหรอ เดินกลับไป ได้มะเขือเทศฟรีมาเข่งนึง เริ่ด! ขอถุงใส่ เพราะต้องเดินทาง เขาก็ให้ด้วย โดยไม่ได้ซื้ออะไรที่ร้านเลย แต่ก็ลำบากชีวิตการหิ้วของพะรุงพะรังของกูไปอีกกกกก
แต่รถประจำทางที่นี่งงจริง งงแบบยังไงก็ไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าตอนแรกจ่ายเงิน จะได้บัตร บอกเวลาว่าขึ้นได้ถึงกี่โมง แต่...แต่ ตอนเช้าเราขึ้น บอกจะซื้อเดย์พาส เขาบอกไม่ต้อง ขึ้นฟรี กูก็งงไปอีกกกกก คือมันไม่มีเงื่อนไขตายตัวบอกตอนไหนเลยว่าขึ้นฟรี จะใจดีได้ แต่อย่าให้หนูงง
พอได้รถมาก็ซิ่งไปตามรูทนี้เลย
เส้นนี้ถือว่าเบสิคสุด ใจจริงเราอยากไปเส้นที่เป็น Coast ชายฝั่งมาก แต่คิดว่า น่าจะเสียเวลา และเราไม่คล่องทางเท่าไหร่ สุดท้ายก็เลือกรูทง่ายๆ เราขับไปทางหลวงหลักหมายเลข 84 เป็นคล้ายๆ ทางด่วน แต่ไม่เสียเงิน แล้ววนข้ามสะพานไปวิ่งฝั่งรัฐ Oregon หมายเลข 14 เลาะริมน้ำไปเรื่อยๆ ถนนขับแยกเลนกัน ขับง่าย มีป้ายบอกทาง ยิ่งถ้ามี gps ไม่งงเลย มีช่วงออกจากทางหลวงไปเลาะบนภูเขา ด้วยความที่เขาขับกันกำหนดความเร็วอยู่แล้ว และเคารพกฎเรื่องเส้นจราจรมาก ฉะนั้นไม่มีใครแซง หรือบีบแตรไล่ ขับกันชิลล์เว่อร์ แต่ก็มีช่วงแซงได้ เราก็ชิดขวา ให้เขาแซงไป
จริงๆ มีอีกหลายจุดให้แวะมาก เช่น Cascade Rocks หรือน้ำตกเล็กๆ มีคนลงไปเเล่นน้ำได้ แต่เราแวะผ่านๆ หรือในตัวเมือง Hood River ก็มีร้านอาหาร มีวิวมาแวะทานข้าว แวะชิลล์ได้ หรือบางคนจะขึ้นไป Mt.Hood เพื่อชมวิวภูเขา เดินป่าเลยก็ได้ แต่เราหลงทางซะก่อน กลัวไม่ทันคืนรถ เลยรีบกลับกันก่อน
สุดท้ายของวันนี้ เอารถไปคืน ร้านปิดแล้ว ก็คืนโดยการจอดทิ้งไว้ แล้วหย่อนกุญแจไว้ในกล่องหน้าร้าน ถ้าเขาตรวจรับรถแล้ว รถเป็นรอยหรืออะไรก็จะชาร์จบัตรเครดิตเราไป หรือตามประกันที่เราทำ ถ้าครอบคลุมหมด ก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่ม
จากนั้นก็เข้าเมืองไปหาอะไรกินนิดหน่อย ซึ่งเดินหาร้านที่เปิดนานมาก ทั้งที่แค่ 2-3 ทุ่ม เมืองเงียบสงัดทีเดียว ถ้าเทียบกับกรุงเทพฯ เลยต้องจัด Subway fastfood ไม่กี่ร้านที่เปิดอยู่แก้หิวกันไป แล้วนั่งรถไฟฟ้ากลับที่พัก ก็สบายเลย เดินต่ออีกนิดหน่อยจากสถานีก็ที่พัก ชุมชนแถวนี้ก็เงียบกริบกันแล้ว
สรุปว่า เวลา 1 วันเต็มๆ ที่จะได้เที่ยว Portland เราก็ไป Day Trip กันนอก Portland ซะงั้น ตามสไตล์ตามตะลอนของเราและเพื่อน เหลือเวลาช่วงเช้าวันต่อไปอีกวัน ที่จะได้เที่ยวในตัวเมือง ก่อนจะนั่งรถต่อไป Seattle
เริ่มแรกเราลงเครื่อง Los Angeles พักแวบนึงใน la เตร็ดเตร่ย่าน Hollywood กินราเมนย่าน Japan Town แล้วบินต่อมาถึง Portland ตอนดึก 4-5 ทุ่มเลย ด้วยสายการบิน Southwest เลือกที่นั่งแบบใครมาก่อนก็ได้นั่งก่อน แต่จะเรียกขึ้นเครื่องตามโซนที่อยู่บนหน้า Boarding pass เราไปถึงเร็ว เลือกที่นั่งแบบโล่งๆ เรียบร้อย ก็มีคนนั่งมาเต็มลำอยู่เหมือนกัน แต่ป้าข้างหลังที่ก็เป็นมิตร พูดคุยกะเพื่อนหน้าใหม่คนข้างๆ ตั้งแต่เครื่องออกยันจะแลนด์ดิ้ง แต่ก็ทำให้เห็นว่า คนอเมริกันเขาก็เป็นมิตร คุยกันได้ ก็คุยเม้ามอยกันยาว คนแถวหน้าป้าอย่างเราก็เลยอดหลับไปด้วย
เรานอน Airbnb ที่อยู่ค่อนไปทางนอกตัวเมืองหน่อย เพราะย่านที่พักอาศัยในอเมริกาส่วนใหญ่จะถูกแยกออกจาก Downtown พอเราไปถึงกว่าจะเอากระเป๋า กว่าจะขึ้น Tram แล้วต้องต่อรถอีก กลัวไม่ทันแน่ๆ ก็จัดการโบก cab ไปเรียบร้อย ลองสุ่มเสี่ยงเรียกจากสนามบินแบบไม่ใช้ Uber หรือ Lyft ดู ซึ่งก็โอเค พี่แท็กคนนิโกรอุตส่าห์บอกว่ามีเบอร์เจ้าของบ้านรึยัง โทรบอกเขารึยัง ให้รอจนเขาออกมารับไหม เราก็กลัวเอ๋อ เลยบอกพี่แกไปว่า อย่าห่วงจ้า สรุปกูเนี่ย หาทางเข้าบ้านไม่เจอ 555
บ้านสีเทาๆ เนี่ยแหละค่ะ ห้องอยู่ชั้นบน ริมหน้าต่างฝั่งหน้าบ้านเลย เขามีห้องให้พักได้ 3 ห้อง เจ้าของอยู่ชั้นล่าง |
และตื่นเช้ามาเราก็ตัดสินใจกันทันทีว่า เอ้อ เราจะขับรถ เพราะเล็งมาแล้วว่าอยากขับรถ หากระทู้ ศึกษาวิธีการไว้แล้ว แต่ไม่ได้จองรถ เจ้าของบ้านแนะนำเว็บนึงไว้ เหมือน Airbnb แต่เป็นเช่ารถของคนในย่านนั้นๆ ฟีลแบบยืมเพื่อน เขาจอดไว้เฉยๆ ราคาก็จะไม่แรง แต่... เราไม่ได้ Verify แอพมาจากบ้าน เราไม่มีเบอร์ที่นี่ เลย อด!
อดแรกผ่านไป ไม่เป็นไร เปิดตึ้ดๆ เจอ Enterprise ให้จองรถวันนี้ ราคาถูก เราก็เอา อยากขับนี่หน่า 55 แต่วันนั้นวันเสาร์มั้ง สาขาที่เปิด ไปนู่นเลยจ้าาาา นั่งรถไป 45 นาที ก็รีบไปกัน โดยเทสรถประจำทางเป็นครั้งแรก เบอร์สายตามที่กูเกิ้ลแมพแนะนำ
ความน่ารักกุ๊กกิ๊กของเมืองนี้ก็เริ่มขึ้นตอนเดินไปป้ายรถเมล์ ผ่านซุปเปอร์มาเก็ต เขาก็แจกฟรีผัก ผลไม้จากสวน เราก็เดินผ่าน เชี่ย เขาแจกฟรีจริงเหรอ เดินกลับไป ได้มะเขือเทศฟรีมาเข่งนึง เริ่ด! ขอถุงใส่ เพราะต้องเดินทาง เขาก็ให้ด้วย โดยไม่ได้ซื้ออะไรที่ร้านเลย แต่ก็ลำบากชีวิตการหิ้วของพะรุงพะรังของกูไปอีกกกกก
ร้านป้าในภาพเลยค่ะ ของฟรี! ถึงกับต้องเดินกลับไป |
พอได้รถมาก็ซิ่งไปตามรูทนี้เลย
เส้นทาง : ทางหลวงหมายเลข 84 แล้วไปวนกลับตรงตัวเมือง Hood River ข้ามฝั่งไปวิ่งทางหมายเลข 14 |
วิวจาก Woman's Forum |
จุด Stop แรก : Woman's Forum |
Vista House ตรง Crown Point |
ภายใน Vista House เป็น Museum |
วันเสาร์พอดี เลยเจอฝรั่งมาท่องเที่ยวกันเต็มเลย |
ลานจอดรถที่ Multnomah Falls รถติดยาวมาก คนก็ค่อยๆ ขับ รอหาที่จอดไป ดูชีวิตไม่เร่งรีบ |
มีร้านอาหาร พิซซ่าอร่อยพอประมาณ เค้ก ไอศครีม และของที่ระลึกให้แวะซื้อกันได้ |
Multnomah Falls เป็นไฮไลท์การท่องเที่ยวรูทนี้เลย คนเลยเพียบ |
Glass Drop ของที่ระลึกของเรา ชอบมาก เป็นหินสีๆ ที่เกิดจากทรายหลอมละลาย เขาบอกว่าอันนี้มาจาก ขี้เถ้าภูเขาไฟ St. Halens |
Lavender Farm ที่แวะเพราะหลงทาง จอดถ่ายวิว สรุป ได้เข้ามาเสียเงิน ซื้อสบู่ไปก้อนนึง |
สุดท้ายของวันนี้ เอารถไปคืน ร้านปิดแล้ว ก็คืนโดยการจอดทิ้งไว้ แล้วหย่อนกุญแจไว้ในกล่องหน้าร้าน ถ้าเขาตรวจรับรถแล้ว รถเป็นรอยหรืออะไรก็จะชาร์จบัตรเครดิตเราไป หรือตามประกันที่เราทำ ถ้าครอบคลุมหมด ก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่ม
จากนั้นก็เข้าเมืองไปหาอะไรกินนิดหน่อย ซึ่งเดินหาร้านที่เปิดนานมาก ทั้งที่แค่ 2-3 ทุ่ม เมืองเงียบสงัดทีเดียว ถ้าเทียบกับกรุงเทพฯ เลยต้องจัด Subway fastfood ไม่กี่ร้านที่เปิดอยู่แก้หิวกันไป แล้วนั่งรถไฟฟ้ากลับที่พัก ก็สบายเลย เดินต่ออีกนิดหน่อยจากสถานีก็ที่พัก ชุมชนแถวนี้ก็เงียบกริบกันแล้ว
สรุปว่า เวลา 1 วันเต็มๆ ที่จะได้เที่ยว Portland เราก็ไป Day Trip กันนอก Portland ซะงั้น ตามสไตล์ตามตะลอนของเราและเพื่อน เหลือเวลาช่วงเช้าวันต่อไปอีกวัน ที่จะได้เที่ยวในตัวเมือง ก่อนจะนั่งรถต่อไป Seattle
See y'all next episode,
KJ (went with Tarnrav)