Tuesday, November 15, 2016

Wander Westcoast 0.2 : เช่ารถขับในอเมริกา

จากทริป #WanderWestcoast ที่เราได้ไปตะลอนอเมริกามา 9 วัน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก็เปิดประสบการณ์ใหม่ของเราในการขับรถพวงมาลัยฝั่งซ้าย ขับเลนฝั่งขวาค่ะ


แพลนครั้งนี้เราตั้งใจจะขับรถแบบข้ามเมือง Portland > Seattle แต่เวลาเราไม่พอ ค่าเช่ารถแบบคืนข้ามเมืองแพงด้วย เพราะจองกระชั้น บวกเราก็ไม่มั่นใจด้วยว่าจะขับได้ 555 ....สุดท้ายเลยได้ขับแค่ 1 วันเที่ยวรอบๆ Portland 


จะเริ่มขับรถเที่ยวในต่างประเทศไม่ยากค่ะ 

ไปขอใบขับขี่นานาชาติที่ขนส่งค่ะ > เสียตังค์ปุ๊ป > ได้เลย 

ใครสะดวกจองรถไปก่อนก็จองไปเลยค่ะ แต่อย่างเราไปตายเอาดาบหน้าอีกแล้ว 555 เราลังเลๆ เลยขอไปถึงนู่น และดูสถานการณ์ก่อนว่าจะขับได้ไหม ถ้าขับไม่ได้ก็เปลี่ยนแพลนเที่ยวในเมืองเอา 

ทาง host Airbnb ก็แนะนำเว็บนึงค่ะ Getaround เป็นเวบเช่ารถแบบ Airbnb คือเอารถคนทั่วๆ ไปที่เขาไม่ใช้ไปขับ คล้าย Airbnb แต่เป็นรถ ซึ่งราคาถูกกว่าร้านเช่ามาก แต่เราก็ไม่รู้เรื่องประกันครอบคลุมอะไรไหมนะคะ อาจจะต้องถามกับคนเช่าอีกที แต่ประเด็นคือแอพมันต้องลงทะเบียนค่ะ เราไม่มีเบอร์ US…. กรีดร้องงงงง 

*** ใครจะไป โหลดแอพ ลงทะเบียนให้เรียบร้อยจากไทยนะคะ

สุดท้าย เลยต้องเช่ากับ Enterprise ซึ่ง google หาเอาเช้าวันที่จะเช่าเนี่ยแหละ แถมร้านอยู่ในเมือง แต่ต้องนั่งรถเกือบ 40 นาที ก็ดุ่มๆ ไปกัน ก็เช่ารถ ซื้อประกันไป ก็ไม่แพงเท่าในสนามบิน เพราะไม่ต้องเสียค่า fee ต่างๆ (ปกติรถเช่าสนามบิน จะมี fee พิเศษที่แพงกว่าปกติค่ะ) แต่ไม่ได้ส่วนลดจากการจองล่วงหน้านาน



Remarks

- ขับพวงมาลัยซ้ายไม่ยากค่ะ แรกๆ แค่จะงง 
เราก็หลง วนๆ ในซอยไปสักพักจนคล่อง (จริงๆ ไม่ได้ซ้อมหรอก... หลง) 

- เวลาเลี้ยวจะเสียวๆ เบียด ก็ตีโค้งระวังหน่อย 
เราล้อเบียดฟุตบาทไปแป๊ป เพราะหลบกรวยทำถนน โชคดีรถไม่เป็นไร 

 - ขับความเร็วตามกำหนดนะคะ แต่เราก็เห็นมีคนขับเกินอยู่บ้าง 
ระวังช่วงเปลี่ยนนอกเมือง มาเข้าตัวเมือง มันจะมีจับความเร็วอยู่ เห็นเลขที่เราขับมาเลย เราก็ตกใจเหยียบเบรกไปแรงเลย 

 - วิ่งมาเลนหลักไม่ต้องหยุดตรงซอยยิบย่อยนะคะ ถ้าไม่มีป้ายหยุด 
คือด้วยความเคยชิน เวลาเราเห็นรถจ่อปากซอยจะออก เราจะชะลอค่ะ ข้างหลังนี่บีบแตรลั่นเลย 
เพราะเราต้องไปก่อน รถออกจากซอยต้องรอให้ถนนโล่งถึงจะไปได้ค่ะ 

- Google Maps นำทางได้โอเคค่ะ ถ้าจะวิ่งแค่เส้นหลักๆ ไม่ต้องเช่า GPS ก็ได้ 
แต่ต้องมีชาร์จโทรศัพท์สำรองไปหน่อยนะคะ เปิด GPS ตลอดนี่กินแบตมาก




เป็นครั้งแรกที่ขับ Subaru เลย ขับไปจุดพักระหว่างทาง มีฝรั่งมาทักเรื่องเหมือนยางไม่ดี ดอกยางหาย ทำเอาเสียว แต่ก็โอเค ขับผ่านมาได้ด้วยดี




ความกลัวของเรานอกจากขับรถพวงมาลัยฝั่งซ้าย คือ เติมน้ำมันเองค่ะ ก่อนไปนี่เปิดทุกเว็บจริงๆ ว่าเติมน้ำมันยังไง 555 

แต่ Portland มีเด็กปั๊มเติมน้ำมันให้ค่ะ ไม่ต้องเติมเอง อดเลย

Wander Westcoast 0.1 : ประสบการณ์ขอ Visa อเมริกา เวอร์ชั่น สัมภาษณ์โหด ! -- 'ผู้หญิงเที่ยวคนเดียว'



ด้วยบุญบารมีจาก Qatar Airways หั่นราคาเซลล์กระหน่ำเมื่อต้นปีค่ะ เราจึงสบโอกาสจองตั๋วกับเพื่อนไปตะลอนฝั่งตะวันตกถึง 9 วัน (ก็ลางานได้เท่านี้จริงๆ อ่ะ) 

แต่ทว่าลำดับแรกในการไปอเมริกานั้นคือ???

ขอวีซ่า

เราต้องเผชิญการขอวีซ่าแบบ ‘ผู้หญิง’ ‘ตัวคนเดียว’ ซึ่งเราไปเล่าประสบการณ์ในหลายกระทู้มากว่าสำหรับเราคือ 'โดนโหดมากกกกกกกก' แต่ผ่าน!

รบกวนไปศึกษาขั้นตอนการสมัครในพี่กูเกิ้ล หรือกระทู้ Pantip เก่าๆ นะคะ มีเยอะมาก บอกเลยแค่เม้าท์เองก็ยาว ถ้าอธิบายด้วยต้องยาวไปอีก ก็เลย...อย่าดีกว่า ไปอ่านของเขาเถอะ เขาทำไว้ละเอียดมาก


http://pantip.com/topic/35021980


ขั้นตอน 1 - กรอกข้อมูล 
กรอกไปเลยค่ะ เขาอะไรก็กรอกไป ซึ่งขั้นตอนนี้แนะนำว่าให้กรอกเอง ถ้ากรอกเองไม่ได้ให้หาคนช่วยกรอก แต่ให้นั่งกรอกไปด้วย
เพราะมันจะมีประโยชน์เวลาเข้าไปสัมภาษณ์ค่ะ


ขั้นตอน 2 - ไปสมัครสมาชิกเวบไซต์ที่ไว้จองสัมภาษณ์ สมัครเสร็จ กรอกช้อมูลเสร็จ จะสามารถจ่ายเงินได้ 
ก็ไปจ่ายเงิน จ่ายเสร็จก็กดจองวันสัมภาษณ์ให้เรียบร้อย


ขั้นตอน 3 - ไปสัมภาษณ์ (ซึ่งก่อนหน้านี้เราควรไปขอหลักฐานนานา มาไว้ก่อน และนำไปสัมภาษณ์ด้วย แม้เขาจะไม่ถามก็ตาม)


*******

ประสบการณ์โดนสัมภาษณ์แบบโหด ถ้าสเกล 1-10 คงสัก 8

เราเข้าไปก็ฝากของอะไรตามปกติ แต่ด้วยคามเสล่อ เราเดินเลยบูทเล็กๆ ที่ไว้เช็ค คอนเฟิร์มคิว ติดพวกรหัสไว้เช็ค EMS ด้านหน้า เราดันเข้าห้องไปเลย ต่อคิวไปถึงช่องแรก ตรวจเอกสาร อ้าว...กลับไปใหม่ค่ะ ไม่ได้ตรวจมา ด่านแรกก็เอ๋อแล้ว

ก็รันตามแถวไปเรื่อยๆ ตรวจเอกสารไป ฟังคนรอบๆ คุยไป จะไปนู่นไปนี่ บางคนก็พานิค พารานอยด์ หวาดกลัวกันไป เราก็เหล่ไปเจอเจ้าหน้าที่กงศุล คนที่คอยแสกนลายนิ้วมือแซ่บค่ะ ยิ้มร่าไปสแกนนิ้วเลย ผ่านไปด้วยดี

พอมาต่อคิวสุดท้าย 'สัมภาษณ์ชี้เป็นชี้ตาย' เห็นคนก่อนหน้าก็มีรอดบ้าง ตายบ้าง บางคนก็สปีคอิงลิชเป็นไฟ เราก็เฉยๆ ไม่ได้หวาดกลัว ไม่ได้รู้ตัวเล้ย สักพักเจ้าหน้าที่สแกนลายนิ้วมือสุดแซ่บคนนั้นก็เปิดช่องใหม่ และเรียกเราไปเผชิญหน้าคนแรกค่ะ ก็เดินยิ้มสยามเข้าไปทันที

เขาถามแค่ ไปไหน ไปกี่คน - เราตอบคนเดียว เพราะตอนแรกที่ไปขอ คือยังเพื่อนยังไม่รู้จะไปไหม ขอก่อนตั๋วเซลล์ออกอีกนะเทอว์ 

(ตอนนั้นยังไม่จองตั๋ว กะไปขอไว้ก่อน เพราะว่าจะไปใน 1 ปีนี้ ซึ่งเราไม่มีหลักฐานตั๋ว โรงแรม หรืออะไรทั้งนั้น)  

เขาถามเคยไปไหนมาบ้าง ก็สาธยายไป พอสาธยายจบเท่านั้นแหละ ผมไม่ให้คุณผ่าน!
เรา What? ทันที ทั้ง  What Why How มาหมดเลย ถามไปเลย ทำไมล่ะ ถ้าไม่ให้ผ่านแล้วจะไปเที่ยวได้ยังไง

เราก็ถอดใจ แต่คิดยังไงไม่รู้ เลยถามไปว่า ถ้าไปคนเดียวไม่ให้ไป แต่ถ้าไปพร้อมครอบครัวคุณจะให้ไปใช่ไหม? คราวหน้ามาขอพร้อมครอบครัวได้ใช่ไหม? เขาบอก ถ้ามาขอพร้อมครอบครัว ผมก็ไม่ให้ เพราะคุณมีเจตนาไม่ดี เราไม่เชื่อคุณแล้ว

What ?????? 

โอโห้ นี่ขึ้นเลย นี่ตรรกะอะไร ก็สาธยายไปเลยค่ะ แล้วถ้าไปเที่ยวที่อื่นได้ 
แต่ฉันจะไปอเมริกาไม่ได้ เพราะไม่ผ่านวีซ่าอยู่ประเทศเดียว บลา บลา บลา 
.... 
....
....
ตอนนั้นคือสติแตก คือสงสัยมากว่าทำไมถึงไม่ให้ แต่คำตอบคือ เพราะผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่น่าเชื่อถือ

แต่เขาก็ไม่คืนพาสปอร์ตเรามา เราก็สาธยายถามนู่นนี่กลับ ว่าทำไม ทำมาย ทำม๊ายยยยยยยยยย?? 
เขาก็คลิกคอมไปเรื่อยๆ ถามสิ่งที่เรากรอกไปด้วยค่ะ ซึ่งเราก็ตอบตามที่เรากรอกเป๊ะมาก 
เราถามอีก แล้วทำยังไงถึงจะได้ไป จะเอาหลักฐานอะไรไหม เขาก็ไม่เอาค่ะ กลับถามเราไปเรื่อยๆ 

ก็ตอบหมดทุกคำถามชอบนู่น ชอบนี่ จะไปเที่ยวนี่ หลังๆ นี่เริ่มไทยประโยค อังกฤษประโยค 
เพราะเดี๋ยวเขาก็พูดไทย เดี๋ยวเขาก็พูดอังกฤษ 
คืองงมาก สติแตกไปแล้ว ถ้าเห็นหน้าตัวเองคือต้องเอ๋อมาก

จนสุดท้ายเขาก็บอก โอเค ผมให้คุณผ่าน แต่ถ้าคุณโดด ผมจะเอารายชื่อคุณขึ้น Blacklist ติดประกาศ ฟีลว่าจะประจานฉันให้ถึงที่สุด ...ตอนนั้นคือถอนใจหาย แล้วบอก Thank You ดังมาก ก่อนรับเอกสารเพื่อสำหรับไปยื่นไปรษณีย์คืน มีการยืนยันเขาไปอีก I love my job. ฉันไม่หนีหรอกน่า

แต่พอหันหลังกลับออกมา ช็อคตัวเองนิดหน่อย เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นคือจำไม่ได้ รู้สึกว่าคุยเสียงดังมากแน่ๆ คนรอบๆ ต้องมองด้วยความสนใจ 5555 

ฉะนั้น...ขอยืนยันว่าอเมริกาไม่ได้โหดร้าย ถ้าคุณพร้อม ไปไฟว้สักตั้งเถอะค่ะ


*******


- ใครบอกเงินน้อย เงินไม่พอ ...ไม่ต้องกลัวค่ะ ถ้ามีเงินเดือนประจำ
ถ้าไปเที่ยวแบบไม่กี่วัน (ไม่ใช่ 3-4 เดือน) เงินในบัญชีเงินเดือนเราเหลือหลักหมื่นต้นๆ 
เขาก็ให้ผ่าน ไม่สนใจจะถามหลักฐานด้วยซ้ำ เพราะเรากรอกไปแค่ว่าเงินเดือนเราเท่าไหร่
แต่เราไม่ได้กรอกว่ามีเงินเก็บเท่าไหร่ แต่ว่าพอเสตจเม้นท์เงินเก็บไป เผื่อถาม


- ยังไม่รู้ไปเมื่อไหร่ ก็สุ่มกรอกโรงแรมไปค่ะ 
ปกติหลายคนสงสัย และถามมากกว่าช่อง Contact กรอกอะไร ที่พักกรอกอะไร งั้นเราต้องจองโรงแรมก่อนใช่ไหม?

คำตอบคือ กรอกโรงแรมสุ่มๆ ไปค่ะ Contact ก็โรงแรมนั่นแล แต่เอาเมืองที่คุณคาดว่าจะไปจริงๆ นะคะ 
เพราะเขาถามแน่นอนว่าไปเมืองไหน อาจจะถามด้วยว่าไปทำอะไร ถ้าเที่ยวก็ไม่ยาก บอกไปเลย 
ชอบเมืองนี้ จากหนัง จากทีวี / ชอบธรรมชาติ ก็ว่าไปเถอะ
485*125

- ไปคนเดียวแบบเรา ทำยังไงดี
อืม ช่วยอะไรไม่นอกจากต้องตอบคำถาม ไฟท์ให้ได้ค่ะ ทำให้เขาเชื่อว่าเราจะเที่ยวคนเดียวได้ มีความรู้เอาตัวรอด และจะกลับมา 
เพราะเราเห็นเขาบอกไม่ให้เราไป แต่ก็ไม่คืนพาสปอร์ตสักที ก็ถามๆ ไปเรื่อยๆ ก็เลยสาธยาย ถามนู่นกลับ นี่กลับ ให้เห็นว่าเราต้องไปได้สิ

-  อะไรอีก... ลืม สงสัยอะไรก็ถามละกันนะคะ
.
.
.
.
.
และด่านสุดท้ายก่อนเข้าประเทศ 

ตม.
ขอพูดและย้ำตรงนี้เลยว่า ถ้าหน้าตา ชีวประวัติคุณไม่ได้น่าสงสัยอะไรมาก เขาไม่ถามอะไรคุณหรอก

เรานี่เตรียมตอบคำถามดิบดี ไปถึงปั๊ม ปั๊ม แสกน เซ็นแกรกๆ จบ!

เดี๋ยวนะ ถามหน่อยสิ อยากพูดภาษาอังกฤษ

Saturday, November 5, 2016

ตะลอนกับทัวร์ Penang - Kuala - Singapore 1st Time

ทริปปีนัง - กัวลาลัมเปอร์ - สิงคโปร์ นี้ เป็นทริปครั้งแรกของชีวิต และทริปครั้งที่ 2 ในชีวิตที่ได้เดินทางไปต่างประเทศ  แต่ในใจไม่เคยมีความคิดอยากไปมาก่อนเลยนะ รู้สึกมันมีอะไรให้ดู นอกจากช้อป หรือพวก Attraction มันไม่ใช่สไตล์ของเรา แต่ด้วยความที่แม่ไปดูงาน เราก็กลัวแม่ไม่ไหว ไหนๆ ก็ลองไปเปิดหูเปิดตาด้วยเลยแล้วกัน  เราเริ่มด้วยการหาข้อมูล เพราะกะว่าตอนเขาทำงานกัน เราจะแวบ ฮ่า ฮ่า ไปเดินเล่นแถวนั้น แต่พอถึงเวลาก็ไม่ได้แวบค่ะ เพราะมันเป็นการดูงาน ไม่ได้มีประชุมอะไร เน้นร่วมกิจกรรมด้วยกันกับเด็กอาร์ตที่มหาวิทยาลัยที่ปีนัง แลกเปลี่ยนความรู้กันมากกว่า เราอยากรู้อยากเห็นเลยนั่งร่วมอยู่ด้วย ก็ดีค่ะ สนุกดี เหมือนไปค่ายศิลปะ 

วันแรก :: เครื่อง Air Asia ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอน 7.45 น. จำต้องแหกตาตื่นกันแต่ตี 3 เลยทีเดียว บินไปลงที่ปีนัง ปกติต้องกรอกใบนู่นใบนี่เต็มไปหมด แถมงงกับภาษาอังกฤษอีกแน่ะ ว่าจะให้กรอกคำตอบแบบไหนกันแน่ แต่ครั้งนี้ไปกับทัวร์ (มันสบายอย่างนี้นี่เอง...) ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นค่ะ เดินตามที่เขาบอกอย่างเดียว กิน นอน นั่งรถ เที่ยว ถ่ายรูป ครั้งนี้ก็เดินชิลล์ๆ ไปผ่านตม.แบบชิลล์ๆ พร้อมลากกระเป๋าเก๋ๆ ไม่ต้องเหนื่อย ต้องหนักสักกะแอะไปวางไว้ข้างรถทัวร์ ที่เหลือก็มีคนมาจัดการให้ มาถึงที่ปีนังประมาณ 9.15 น.ค่ะ ถ้าเป็นเวลาของมาเลเซียก็ปรับนาฬิกาเป็น 10.15 (GMT +8)

IMG_3864

Nice Building on the way

IMG_3862

IMG_3861


มาถึงก็เริ่มเที่ยวเลยค่ะ ที่แรกคือ Museum ซึ่งที่มาเลเซียจะเห็นว่าเขาใช้ z นะ เป็น Muzium ทุกทีเลย เห็นทุกทีจนเราก็แอบสงสัยว่าหรือเราเรียนภาษาอังกฤษมาผิดวะ? ที่เราไปคือ Muzium Negeri Palau Pinang ค่ะ ก็เหมือนมิวฯ ประจำจังหวัดค่ะ มีบอกเล่าเรื่องราวของปีนัง ที่มาที่ไป วัฒนธรรม สังคม ศาสนา โบราณวัตถุทั้งหลายก็พอมีอยู่บ้าง
IMG_3882IMG_3865

เที่ยงปุ๊บทานอาหารกลางวัน เป็นร้านอาหารริมทะเลค่ะ ตัวปีนังเป็นเกาะไม่ใหญ่ค่ะ แล้วตัวอำเภอเมืองของปีนัง คือ Georgetown ก็ไม่ใหญ่อีกนั่นแหละ ขับไปร้านอาหารก็วนไปวนมาเจอที่เดิมๆ ค่ะ คาดว่าถ้าอยู่สัก 3 วัน เที่ยวครบทุกซอกทุกมุมแน่นอน บ่ายเราก็ไปเที่ยวต่อกันที่ วัดเขาเต่าก็เป็นทางเดินขึ้นเขา ระหว่างทางก็มีของขาย ถ้าเทียบก็อารมณ์แม่สายบ้านเราเมื่อก่อน ที่จะมีซอยนึงเป็นทางขึ้นวัดอะไรสักอย่าง ระหว่างก็ขายของ ดูมึดๆ ทึบๆ ฟีลพาหุรัด สำเพ็งสุดๆ แต่คนแถวนี้ค่อนไปทางผิวดำและหน้าตาแขกๆ ดูน่ากลัวมากค่ะ (ถ้าออกไปทางคนจีน ขาวหน่อย อาจจะดูไม่น่ากลัวเท่านี้) ขึ้นไปบนวัดก็ไปถ่ายรูปค่ะ ไม่ได้ไหว้พระอะไรกับเขาหรอก ... แต่วัดนี่สิคะ เห็นมีพวกคนขอทานเต็มไปหมด น่ากลัวมากๆ อีกแล้ว เพราะไม่ใช่ขอทานเปล่าๆ แต่เป็นขอทานที่สูบบุหรี่ หน้าตาโหดๆ ตอนแรกกะจะไม่เดินผ่านไปแล้วนะนั่น น่ากลัวจริงๆแต่บนวัดวิวสวยค่ะ วัดจีนก็สวยค่ะ แต่ไม่ได้แปลกใหม่อะไรเท่าไหร่ ไอ้ที่ว่าเต่าเยอะ บ้านเราบางวัดเยอะกว่าทั้งเต่าทั้งหมาเลย อ้อ คนขายผักบุ้งให้เต่าพูดไทยได้ด้วยนะเออ

IMG_3953

ลงจากวัดมาต่อที่ Penung Hill ค่ะ ก็ได้อารมณ์ The Peak ที่ฮ่องกง หรือดอยสุเทพพวกนี้ดีค่ะ ขึ้นรถราง (เขาเรียกอะไรนะ?) Cable Car รึเปล่า? ทำนองนี้ล่ะค่ะ สูงเอาการอยู่ ระหว่างก็มีผ่านอุโมงค์แอบตื่นเต้น วู้ยๆ ! มีผ่านอุโมงค์มืดๆ ด้วย เท่ห์อยู่เหมือนกันนะเนี่ย แต่ที่สำคัญ คนเบียดมากค่ะ เบียดชนิดจะตกทะลุหน้าต่างออกจาก Cable car เลยทีเดียว ... มันน่าจะจำกัดคนบ้างนะ ขึ้นไปแล้วก็เห็นวิว Georgetown ทั้งหมดเลยค่ะ สวยดีอยู่ มีเรือขนสินค้า มีสะพานเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ ได้เห็นเหยี่ยวบินร่อนไปมาอยู่ด้านล่างค่ะ ถือว่าจุดชมวิวนี้สูงอยู่เหมือนกันนะเนี่ย
ตกเย็นไปทานอาหารที่ริมทะเลเลยค่ะ เป็นทะเลออกแนวบางขุนเทียนบ้านเรานะ เป็นแนวป่าชายเลนค่ะ มีปลาตีนด้วย ไม่รู้ว่าปลาตีนสัญชาติมาเลเซียจะพันธุ์เดียวกับที่บ้านเรารึเปล่า จากนั้นก็เข้าที่พักที่ Cititel Hotel ห้องไม่ใหญ่มากค่ะ แต่ก็มีที่เดินไปมา ห้องน้ำก็มาตรฐานค่ะ  คืนนี้ดูทีวี...อืม บ้านเขาก็มีช่องสถานีหลากหลายอยู่นะ ทั้งภาษาไทย จีน อังกฤษ ละครบ้านเขา ฟังไม่รู้เรื่องนะคะ แต่ภาพและสี อารมณ์คล้ายๆ ละครบ้านเราเนี่ยแหละ เหมือนพวกกล้องธรรมดา ใช้แสงไฟขาวๆ (ภาพจะไม่ได้นวลๆ นุ่มๆ เหมือนทาง series ฝรั่งเท่าไหร่) แต่ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ เลยเปลี่ยนไปฟังพวกรายการเพลงแทน แล้วก็เปลี่ยนไปดู CSI Miami ค่ะ (อุตส่าห์มาถึงมาเลฯ ยังดู CSI อยู่อีก ! ) < จากหน้าโรงแรมถ่ายบรรยากาศ


IMG_4090

IMG_4091
White and red cab

IMG_4117

วันที่สอง ::
วันนี้ไปสัมมนาที่ USM [Universiti Sains Malaysia] ค่ะ มหาวิทยาลัยใหญ่ดี ที่ชอบคือ 'ร่มรื่น' ค่ะ มีต้นไม้ใหญ่ตลอดทาง มีที่ว่างคือมีสวน ต้นไม้ใหญ่ และที่นั่ง ตึกเรียนก็เยอะทีเดียว ได้ไปดูคณะด้าน Arts ค่ะ มีเปิดอยู่ 4 ภาค Theater / Music / Fine Arts / แล้วอะไรอีกอย่าง จำไม่ได้แล้ว เรียน 3 ปีจบ ในราคาที่เรียกว่า ถูกกว่าม.เอกชนบ้านเรามากค่ะ ได้ดูพวกคอร์สเรียนด้านนี้ ก็ค่อนข้างครบและทันสมัยนะคะ จะออกแบบกราฟฟิค อนิเมชั่น ด้านภาพยนตร์เนี่ย...ยังไม่เห็นค่ะ เน้นไปทางละครเวทีมากกว่า มีเหมือนหอประชุมของคณะใหญ่อยู่ค่ะ แล้วเห็นมีเด็กนักเรียนมาทำงาน เตรียมแสดงงานพวกภาพเขียนอยู่นะ

IMG_4133ที่ชอบอีกอย่างหนึ่งนอกจากสถานที่คือ การเรียนการสอนค่ะ พร้อมพอสมควร แต่ถ้าจะบอกว่าทันสมัยเท่าอเมริกาคงไม่ใช่ ที่สำคัญคือได้คุยกับนักเรียนที่นี่ แม่เจ้า! คิดเป็นระบบ และค่อนข้างเปิดกว้างมากค่ะ คาดว่ามีผลมาจากระบบการศึกษาทั้งหมดของเขา ค่อนข้างจะเปิดกว้างด้านการแสดงความคิดเห็น และเปิดโอกาสให้เด็ก  ได้เจอเด็กไทยคนนึงมาเรียนที่นี่ค่ะ ตอนแรกก็แบบไม่อยากมา แต่พอได้อยู่สักพักแล้วชอบ แถมตอนนี้เขายังพูดได้ทั้ง ไทย อังกฤษ มาเลย์อีกต่างหาก ... 

เราสงสัยการเรียนการสอนเขาอย่างหนึ่งค่ะ เพราะให้เด็กมุสลิมคนนึงวาดรูป แล้วพูดถึงโบสถ์ เจย์ดีในบ้านเรา เขาไม่รู้จักค่ะ ไม่รู้จักเลยสักนิด เลยสงสัยว่าเขาไม่เรียนเกี่ยวกับชาติอื่น ศาสนาอื่นเลยเหรอ เพราะตอนเราเรียนสังคม เรายังเรียนศาสอิสลาม ซิกข์ ฮินดู เรียนว่ามาเลชุดประจำชาติเป็นยังไง พม่าชุดประจำชาติเป็นยังไง อ้อ! เด็กที่นี่เรียน 3 ภาษาด้วยค่ะ ตั้งแต่เด็กเลยนะ มาเล - อังกฤษ - อารบิค หรือ จีน ส่วนใหญ่มุสลิมจะเรียนอารบิค (ถ้าจำไม่ผิด ภาษาที่เอาไว้อ่านคัมภีร์) คนจีน (ซึ่งเป็นประชากรส่วนมากของที่นี่) ก็จะพูดจีนได้ เรียกว่าถ้ามา พูดอังกฤษไม่ได้ แต่พูดจีนได้ก็รอดตายอ่ะ


วันนี้ตลอดทั้งวันไม่ได้เที่ยวไหนเลยค่ะ อยู่ที่มหาวิทยาลัยตลอด แต่ก็ดีนะคะ ได้เรียนรู้ เห็นการศึกษาของมาเลย์ ถือว่าดีเลยทีเดียว ถ้าเด็กไทยไม่อยากไปไกล ลองมาเรียนแถวมาเลย์ สิงคโปร์ก็ดีนะคะ ไม่แพงมาก แล้วไกด์ท้องถิ่นบอกว่าสังคม ความปลอดภัยที่นนี่ ค่อนข้างโอเคเลย เพราะกฎหมายเขารุนแรงค่ะ ยิ่งกฎหมายมุสลิม ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟันค่ะ

IMG_4210
Student project - these are introduction boards, students tell about themselves

IMG_4272
Large pictures I want to 'stole' ... haha

วันที่สาม ::
เดินทางไปกัวลาลัมเปอร์แต่เช้า (ตามแพลนนะ) เอาเข้าจริง ก็กว่าจะออก 10 โมง เดินทางโดยรถบัสกว่า 5 ชั่วโมง แวะทานอาหารกลางทาง ร้านอะไรจำชื่อไม่ได้ ร้านนี้จะสะสมของเก่าค่ะ ตอนแรกนึกว่าไม่ใช่ร้านอาหาร เห็นนาฬิกาเก่าๆ กาน้ำชาแบบสนิมเกาะ ดูไปก็คลาสสิคดี อาหารอร่อยใช้ได้เลยค่ะ ได้ทานขนมปังที่รสชาติคล้ายปาท่องโก๋กับแกงกุ้ง (เขาเรียกอะไรจำชื่อไม่ได้) อร่อยดีค่ะ แอบซัดไปเกินโควต้าอยู่
IMG_4435
ไปถึง KL ก็ไป Muzium ค่ะ รู้สึกเป็นหอศิลป์ที่สำคัญของที่นี่เลย ตอนที่ไปงานที่จัดมีทั้งศิลปินในประเทศ และศิลปินจากประเทศอะไรนะ? แถบอเมริกาใต้ค่ะ (ไว้นึกชื่อออกจะมาบอก) แล้วก็วิ่งเข้าสู่ตึกแฝด หรือตึก KLCC ตึกที่เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกค่ะ แล้วก็เข้าที่พักที่ Cititel Express 

ตึก KLCC ด้านล่างเป็นห้างสรรพสินค้า มีงานนิทรรศการศิลปะที่ชั้น 3 ด้วยค่ะ ไม่ได้ขึ้นไปตรงทางเชื่อมตึก มันต้องเสียเงินด้วย

IMG_4480



IMG_4548

IMG_4553
Traffic jam in rush hour like other cities

วันที่สี่ :: 

ตื่นเช้ามาทานอาหารบุฟเฟ่ต์ที่ห้องอาหารโรงแรม เฉยๆ ค่ะ อาหารที่ปีนังดูหลากหลายและดีกว่า แต่จขบ.ไม่ทานเยอะอยู่แล้ว เลยไม่เครียดเท่าไหร่ (แต่ถ้าอร่อยและหลากหลายกว่านี้ก็ดี) เช้านี้ฝนลงปรอยๆ ตลอดเช้าเลย เล่นเอาคืนนั้นทานยาแก้ไขไปเหมือนกัน เพราะเริ่มปวดหัว กลัวไม่ไหว
สถานที่แรกที่ไปแวะเยี่ยมชมก่อนจะไปสิงคโปร์ คือ วังของสุลต่าน ค่ะ ใหญ่ไหม? ก็ใหญ่นะ แต่ตอนที่รถสุลต่านวิ่งออกมา ขบวนไม่ได้ใหญ่โตอะไร มีมอไซค์ตำรวจนำไม่กี่คัน รถตามอยู่คันเดียวเอง

จากนั้นนั่งรถไปสิงคโปร์เลยค่ะ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ไกด์บอกว่าที่นี่จะโหดกว่ามาเลเซีย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ ไกด์แนะนำมาว่าให้เข้าช่องที่เป็นจนท.เพศตรงข้าม เขาจะใจดีนิดนึง เราเดินผ่านไปก็ยิ้มอย่างเดียวค่ะ ยิ้มเข้าไว้... แต่ดันรถทัวร์มีปัญหาค่ะ เพราะคนขับเป็นคนแขกอินโด ช่วงที่ไปสิงคโปร์มีปัญหาเรื่องแขกลักลอบเข้าเมือง เอาของลักลอบไปขายพอดี เขาเลยระวัง และตรวจรถเป็นพิเศษมากๆ นานเกือบชั่วโมงเลย พอพ้นด่านตรวจคนเข้าเมืองมาไม่นานก็เข้าสิงคโปร์ค่ะ


ในสิงคโปร์ ทิวทัศน์จะมีตึกรามบ้านช่องเต็มไปหมด เรียกว่าเต็มพื้นที่อ่ะ แต่เขาจะมีต้นไม้ตลอดริมฟุตบาทเลยค่ะ แม้จะดูเป็นตึกๆ แต่ร่มรื่นอยู่นะ ไม่ได้ให้ฟีลสยามบ้านเรา หรือ Time Square ร้อนๆ แดดเผาเท่าไหร่ (แต่วันต่อมา ร้อนเอาการค่ะ)


กว่าจะถึงสิงคโปร์เย็นแล้วค่ะ แสงรำไร คนขับก็พาเราไปส่งขึ้นรถไฟฟ้าตรงห้าง Vivo เพื่อไป Sentosa ค่ะ ไปทานอาหารที่นี่ วิวสวย อาหารอร่อยอยู่ มีโต๊ะข้างๆ ทานเป็นคล้ายๆ บุฟเฟ่ต์ชาบู คนละหม้อเลย น่าทานอยู่เหมือนกัน แล้วก็ไปดูพวกไฟลท์บังคับ Wax Museum / Tiger Sky Tower ภาพ 360 องศาก็สวยดีค่ะ เห็นสิงคโปร์เกือบทั้งเกาะเลยทีเีดียว / Movie 4D เป็นกัปตัน Jack Sparrow แบบเก๊ๆ ก็คล้ายๆ ป๋าเดปป์อยู่เหมือนกัน / Song of the Sea 



คืนนั้นเข้าพักที่ Peninsula Excelsior Hotel ค่ะ เรียกว่าโรงแรมหรู และย่านที่พักดีมากๆ ใจกลางเมือง แถมเป็นห้างใหญ่ ใกล้ MRT City Centre คืนนี้เลยได้แรดกับเขาสักทีค่ะ

ตอนกลางคืนเดินเล่นไปเรื่อยๆ ไม่มีแผนที่อะไรทั้งนั้น กะออกมาถ่ายรูปไฟกลางคืน ชิลล์ๆ หาอะไรทานหน่อย เจอโบสถ์ถ่ายไปเรื่อยๆ จนมองเห็นไฟแวบๆ ไกลๆ ว่าเป็นเจ้าหนามทุเรียนนี่เอง เลยเดินตรงดิ่งไปเลยค่ะ ชนิดตัดตรง ทะลุสนามบอล สวนสาธารณะ ตอนนั้นมันมืด มองเห็นลางว่ามีทางเดิน แต่ไม่รู้ออกได้รึเปล่า แต่คิดกับแม่ว่า เดินไปก่อนละกันเห็นมีคนนำหน้าอยู่ ก็ตามๆ เขาไป ไม่ใช่ก็เดินย้อนกลับเอา สรุปไปถึงจนได้ค่ะ ก็เลยได้วิวตอนกลางคืนมา ขาตั้งก็ไม่แบกไป สั่นมากๆ 


St. Andrew's Cathedral อยู่ตรง MRT City Centre พอดีเลยค่ะ


Esplanade เดินจากโบสถ์ คือมองหาทิศเจ้านี่ แล้วตรงมาเรื่อยๆ ผ่าน War memorial 
ตัดสนามกีฬา ลอดอุโมงค์ไปถึงด้านหน้าเลย
วันที่ห้า ::

วันนี้รถพาขับวนไปวนมาชมเมือง แล้วมาจอดตรงใต้สะพานที่เราไปกันเมื่อคืนค่ะ แล้วก็ไปถ่ายรูป 
Singapore Flyer / Merlion แบบสว่างๆ ตามระเบียบ


หัวมุมโรงแรม Hill St. ตัดกับ Coleman St. เหมือนจะเป็น Police Station หรือ Fire Department เนี่ยแหละค่ะ เป็นตึกที่สวยมากเลยค่ะ (หลายตึกๆ ที่นี่สร้างได้มีลูกเล่น สวย มีเอกลักษณ์ ถูกหลักฮวงจุ้ยดี)




จากนั้นไปชม National Gallery Art Museum ของที่นี่ค่ะ ใหญ่โต นิทรรศการใช้ได้เลย แถมมีเด็กๆ มาทัศนศึกษาด้วย ทีตอนเด็กๆ เราไม่เห็นได้ไปทัศนศึกษาอย่างนี้บ้างเลย วันๆ เรียนอยู่แต่ในห้อง ถ้าพ่อแม่ไม่พาไป คงไม่เคยเที่ยว


พอดีเจอคนที่รู้จักกันพาไปทานอาหารค่ะ ไปทาน Ice Kajung อารมณ์น้ำแข็งไสบ้านเราเนี่ยแหละ อร่อยอยู่นะ แต่เผอิญไม่กินถั่วแดง เลยไม่ได้รสที่แท้จริงของมันเท่าไหร่ แล้วก็ทานอาหารเที่ยง หลังมือเที่ยวรถทัวร์ก็พาปล่อยไว้ที่ Orchard ค่ะ

แต่กว่าจะได้มาที่นี่ก็บ่าย 2 กว่าแล้วล่ะ แพลนตอนแรกกะช้อปเต็มที่ แต่ต้องออกตอน 5 โมง พาแม่ไปดู Kinokuniya ที่ใหญ่ถูกใจแม่ลูกมากๆ เลยหลงอยู่ในร้านหนังสือนานมากๆ (เป็นแบบนี้ประจำ) พอถึงคิวช้อป โอ้ว! กว่าจะเดินทั่ว ให้เดินแถวนี้ทั้งวันก็เดินได้ค่ะ ถนนยาว และของช้อปเยอะมากๆ แต่ก็จะออกเป็นแบรนด์เนมแพงนิดนึง แต่ลานของห้างแถวนั้นหลายห้างเซลล์เยอะเลยค่ะ กะช้อปแล้ว แต่พอดีเรื่องมาก เลือกไปเลือกมาหมดเวลา เดี๋ยวตกเครื่อง เลยไว้มาช้อปทีหลังละกัน แต่่...ของช้อปที่นี่ถ้าไม่ใช่หน้าเซลล์ก็ไม่ถูกเท่าไหร่นะคะ อาจจะขอคืน TAX ได้เล็กน้อย 

จขบ.ว่า outlet แถว HK น่าช้อปมากกว่าค่ะ ถ้าแบรนด์ที่จำหน่ายเฉพาะในสิงคโปร์ก็สวยดีค่ะ แต่ดูราคาแล้ว สู้ช้อปแบรนด์ไทยราคาพอๆ กันดีกว่า เงินไม่รั่วไหล สุดท้ายเราก็ตายรัง มาช้อปแพลทตินั่ม เจเจเหมือนเดิม

มาถึงสนามบินสิงคโปร์ เคาเตอร์ Air Asia คนไม่มากเท่าไหร่ค่ะ มีแต่แถวที่ไป BKK เนี่ยแหละคนยาว จนเคาเตอร์ที่ไปที่อื่นต้องช่วยกันเปิดเช็คอินกระเป๋า ก็ดีนะคะ รวดเร็วทันใจดี พอเข้า Duty Free เวลาเหลือเยอะมากค่ะ เลยเดินเล่น แต่ของช้อปไม่มากเท่าไหร่ แม่เลยคว้าเครื่องสำอางค์ปลอบใจที่ไม่ได้ช้อปอะไรในเมืองเลย SK-II ถูกกว่าเมืองไทยเกือบครึ่งค่ะ ถูกใจมาก ถ้าราคาเครื่องสำอางค์บ้านเราถูกกว่านี้คงจะดี ไม่รู้จะอัพเกรดราคาอะไรกันหนักหนา

เครื่อง Air Asia FD3506 ลงจอดเมืองไทยเร็วกว่าเวลาที่้กำหนดเล็กน้อยค่ะ ถึงประมาณ 5 ทุ่มนิดๆ (ตามเวลาเมืองไทย) แต่รอกระเป๋านานมากๆ ค่ะ รอจนเมื่อยเลย กว่าจะถึงบ้านก็เกือบตีหนึ่ง นอนไม่หลับ สุดท้ายเลยนั่งโหลดรูปลงคอมจากกล้องจนเกือบเช้า