Sunday, November 4, 2018

Travel 101 : สะสมไมล์ อันไหนดี อันไหนปัง อันไหนได้บินฟรี มาอ่าน!

หลายๆ คนบินก็หลายรอบแล้ว ยังเอ๊ะ ยังงงว่า สะสมไมล์คืออะไร เราจะสะสมไว้ทำไม แล้วสะสมของอะไรดี วันนี้เลยจะมาอธิบาย ไขข้อข้องใจ ให้สมเป็นคอร์ส Travel 101 ของเราสักหน่อย

สะสมไมล์ก็เหมือนสะสมแต้ม สะสมคะแนน เพียงแต่เราไม่นับจากราคา เรานับจากระยะทางการบิน มันเลยเรียกว่า 'สะสมไมล์' แต่ปัจจุบันมีสายการบินโลคอสออกมามากมาย หลายแห่งก็หันไปใช้วิธีคำนวณตามราคาซื้อตั๋ว เพราะสมมติถ้าเกิดได้ตั๋ว 0 บาท แต่ให้ไมล์ สายการบินก็ดูจะไม่คุ้มใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าคุณ add กระเป๋าเพิ่ม น้ำหนักเพิ่ม เสียเงินให้เยอะ ก็ได้แต้มเยอะขึ้น เป็นต้น


Credit : ETN

1. สะสมไมล์กับสายการบินอะไรดี?

บอกเลยว่า ทุกสายบินบินมีโปรแกรมสะสมไมล์เป็นของตัวเอง แบบเดอะมอลล์มี M Card เซ็นทรัลมี The 1 Card นั่นแหละ สายการบินก็แข่งกันมีของตัวเอง แล้วเสนอโปรเด็ดเพื่อสมาชิกของตนเอง อย่างเช่น การบินไทย - Royal Ochid Plus (เรียกสั้นๆ ROP) / United Airlines - Mileage Plus / Delta Airlines - Skymile / British Airways - Executive Club / Cathay Pacific - Marco Polo เอาเป็นว่าเยอะแยะมากมาย วิธีการเลือกก็คือ
เลือกสายการบินที่ตัวเองบินบ่อยที่สุด
ทำไมต้องเลือกัอนที่บินบ่อยน่ะเหรอ ก็เพราะเวลาเราบินเยอะ ไมล์เยอะ เราจะรับสิทธิพิเศษกับสายการบินนั้นๆ สมมติเราบินการบินไทย สะสมไมล์เยอะกับคาเธ่ย์ แล้วเราจะได้ประโยชน์จากการบินได้ยังไง ถูกไหม (แต่จริงๆ มันก็มีประโยชน์นะ ถ้าเครือเดียวกัน อัพเกรดขั้นแล้ว มันก็ได้รับสิทธิพิเศษอยู่ เอาเป็นว่า มันแอดวานซ์แล้ว เอาเบื้องต้นไปก่อน)

แต่ว่าเราไม่ควรสะสมกับหลายๆ สายการบินเกินไป เพราะมันจะทำให้ไมล์กระจายไปหมด แล้วสุดท้ายก็แห้ว แลกอะไรไม่ได้สักอย่าง เพราะคะแนนน้อยไป

สายบินก็ช่วยเหลือเราให้สะสมไมล์ได้ง่ายขึ้น ด้วยการมีเครือสายการบิน หลักๆ ด้วยกัน 3 เครือ


แต่ละเครือก็จะมีสายการบินแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็จะครอบคลุมทั้ง 5 ทวีปหลักๆ ถึงเรามีบัตร ROP ก็สามารถสะสมไมล์ของสายการบินอื่นๆในเครือเดียวกับการบินไทย ก็คือ Star Alliance ได้ทั้งหมด แต่จำนวนไมล์ที่สะสมได้ จะกี่ % ก็ขึ้นอยู่กับคลาสของตั๋วสายการบินนั้นๆ

วิธีการง่ายๆ ก็คือ เข้าไปเช็คในเว็บที่เรามีบัตรสะสมไมล์ก่อน ว่าสะสมกับสายการบินที่เรามีบัตรสะสมไมล์ได้ไหม แถวๆ หัวข้อ Earn Point / Earn Miles มันจะมีให้เช็ค Airline Partner อยู่ในทุกสายการบิน 


คำแนะนำ คือ ให้มีเครือละ 1 บัตร เพื่อที่เราบินเครือไหนก็จะสะสมได้หมด
แล้วใครจะบิน ไม่รู้จะสะสมกับเจ้าไหนดี ลองไปดูเวบไซต์นี้ได้ Where To Credit จะบอกว่าสะสมไมล์กับเจ้าไหนได้คะแนนมากสุด โดยกรอกสายการบิน และ Class ของตั๋วลงไป ก็จะขึ้นว่าสะสมไมล์กับบัตรเจ้าไหน ได้ไมล์กี่ % ได้กี่ไมล์ เป็นต้น ...แต่ให้ดูด้วยนะ บางเจ้าได้ไมล์เยอะ แต่เวลาแลกก็ใช้ไมล์เยอะกว่าเช่นเดียวกัน

ดอกจันห้าล้านดวง****ว่า ตั๋วแต่ละราคาก็จะมี Class ที่ต่างกัน และสามารถสะสมไมล์ได้ต่างกัน เช่น 0% 25% 50% ก็มี ฉะนั้นเช็คดีดี เพราะบางทีตั๋วโปร ตั๋วถูก ไม่ได้ไมล์เลยก็มีจ้า บางครั้งเราบินไกล ก็เลือกแพงอีกนิด ให้สะสมไมล์ได้ ก็ดูจะคุ้มค่ากว่า

2. สะสมไมล์ก็มีลำดับขั้นนะ

ลำดับขั้นก็จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละสายการบิน เช่น ROP ของการบินไทย มีบัตรปกติ จากนั้นบินครบ ... เที่ยว หรือไมล์ครบ ... ไมล์ ใน 1 ปี ก็จะได้เลื่อนขั้นเป็น Silver, Gold ก็ว่าไป ซึ่งลำดับขั้นของบัตร ก็จะมีลำดับขั้นของเครือสายการบินด้วย 

ลำดับขั้นของเครือสายการบินก็จะมีประโยชน์คือ สมมติคุณได้เป็น Star Alliance : Gold จะสามารถเข้าห้องรับรองได้ ทีนี้พอคุณไปบินการบินไทย หรือเจ้าอื่นในเครือ คุณก็สามารถใช้ห้องรับรองของเจ้าอื่นภายในเครือเดียวกันได้เลย  

เราก็อาจจะเคยเห็นที่บางกลุ่มสะสมไมล์ใกล้ครบ ใกล้ได้เลื่อนลำดับขั้น พอใกล้ครบปี เขาก็รีบหาที่เที่ยว จองตั๋วเพื่อที่ไมล์จะได้ครบและได้เลื่อนขั้นนั่นเอง 
แต่การเลื่อนขั้นส่วนใหญ่ก็จะเลื่อนในปีถัดไป จำนวน 1 ปี ถ้าปีต่อมา สะสมไมล์ได้ไม่ถึงเงื่อนไข ลำดับคุณก็จะตกมาอยู่บัตรสถานภาพเดิมทันที

3. หาเงื่อนไขสะสมของสายการบินที่ใช่

แต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน บัตรแต่ละสายการบินก็มีเงื่อนไขที่ต่างกันไป เช่น ไมล์หมดอายุภายใน 2 ปี ไมล์อัพเกรดขั้นได้ช้า-เร็ว ต่างกัน เช่น 

  • คนบินบ่อย - บัตรสายการบินไหนก็ได้ เพราะสะสมไมล์ได้เร็วอยู่แล้ว
  • คนบินไม่บ่อย - ควรสะสมกับสายการบินที่ไมล์ไม่มีวันหมดอายุ หรือ แค่ขยับไมล์นิดหน่อย ทุก 18 เดือน หรืออะไรก็ว่าไป เช่น Delta / United พวกนี้ไมล์ไม่ค่อยหมดอายุ
  • คนแลกไมล์เป็นตั๋วฟรี - ก็อาจจะสะสมกับสายการบินที่เสียภาษีถูก เช่น Kris Flyer ของ Singapore Airlines แลกไมล์แล้วเราเสียภาษีเพิ่ม ถูกกว่าของการบินไทยในบางไฟล์ท
  • คนแลกคะแนนบัตรเครดิตไปเป็นไมล์ - ควรสะสมกับการบินไทย - ROP เพราะสายการบินเจ้าอื่น บัตรเครดิตอาจจะแลกมาไม่ได้
  • คนอยากแลกคะแนนน้อยๆ - เช่น British Airways โปรแกรมสะสมไมล์ Executive Club ใช้แต้มแค่ 45,000 ไมล์ก็ไปกลับญี่ปุ่นได้ ในขณะที่บางสายการบินอาจจะใช้ถึง 60,000 ไมล์
ฉะนั้นจึงต้องค้นหา ลักษณะการใช้งานของตัวคุณเองก่อน แล้วเลือกสายการบินที่ใช่ที่สุด แค่นี้ก็จะสะสมไมล์ได้อย่างสบายใจ

4. สะสมไมล์ แล้วทำอะไรได้บ้าง?

  • แลกตั๋วฟรีเลย แต่ยังต้องเสียภาษีนะ ไม่ใช่และแล้ว ไม่จ่ายอะไรเลย และได้ตั๋วเลย...ไม่ใช่จ้า!
  • อัพเกรดที่นั่ง จากชั้น Economy ธรรมดา ไปสู่ชั้น Business
  • แลกเป็นการเข้า Lounge ห้องพักรับรอง (มีในบางสายการบิน)
  • แลกเป็นห้องพักที่โรงแรมชั้นนำมากมายยยยย
  • แลกเป็น Gift Voucher
  • แลก แลก แลก อีกมากมาย ไปดูในเว็บไซต์สายการบินเหอะ มันเยอะ !!!!
ถ้าแต้มไม่พอ บางสายการบินก็มีให้ซื้อแต้มเพิ่มได้นะ ซึ่งก็ดีสำหรับคนไม่ได้สะสมไมล์ได้เร็ว

5. บทสรุป

ถ้าใครขี้เกียจอ่าน มาอ่านสั้นๆ ที่ข้อ 5 นี้ก็ได้ สำหรับประสบการณ์การสะสมไมล์จริงๆ ของเรา แบบไม่ปั่นไมล์ ด้วยการศึกษา พินิจ พิเคราะห์ จนเราตัดสินใจสะสมแบบนี้

Star Alliance : United Airlines - Mileage Plus

เราเริ่มสะสมกับเจ้านี้เจ้าแรกตั้งแต่สมัยเรียน เพราะตอนนั้นบินไปอเมริกา และยุคนั้นยังมีสายการบิน United ที่บินตรงจากไทยไปญี่ปุ่นอยู่ คิดแล้วว่าเราคงไม่ได้บินบ่อย ไมล์ของเจ้านี้ เป็นเจ้าแรกๆ ที่ไม่หมดอายุ เพียงแค่ให้ไมล์มีการเคลื่อนไหว ทุก 24 หรือ 18 เดือนเนี่ยแหละ พอใกล้หมด เราสามารถซื้อไม่กี่ไมล์เพิ่มก็ได้ หรือจะบริจาคนิดหน่อย ให้ไมล์ขยับก็ได้ 

ที่สำคัญคือเราคำนวณว่าสายการบินนี้ใช้ไมล์น้อยในการบินไปญี่ปุ่น หรือบินไป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ก็ใช้แค่ 60,000 ไมล์

ข้อเสียคือ ตอนนี้มันไม่มีสายการบินนี้บินมาไทย ถึงได้อัพเกรด ก็ไม่ค่อยได้ประโยชน์จากบัตร และไม่สามารถแลกแต้มบัตรเครดิตเข้าได้

One World : British Airways - Executive Club

เราเลือกเพราะการที่ไมล์ไม่หมดอายุถ้ามีการขยับไมล์อีกนั่นแหละ รวมถึงจำนวนไมล์ที่ใช้น้อย ถ้าจะบินไปญี่ปุ่น หรือเอเชียใกล้ๆ และแลกแต้มบัตร Citi เข้าได้ แม้ตอนแรกลังเลระหว่างเจ้านี้กับ Cathay แต่เรารู้สึกว่าอันนี้ตอบโจทย์กว่า

แต่เราก็แอบสมัคร Asia Miles ของเครือ One World เอาไว้ด้วย เผื่ออันไหน BA สะสมไมล์ไม่ได้ ก็เอาเข้า Asia Miles

Skyteam : Delta Airlines - Skymile

เลือกเพราะอันนี้ไม่มีหมดอายุแบบจริงจัง และก็ใช้ไมล์น้อยในการแลกเช่นเดียวกัน แม้ว่าตอนนี้อาจปรับขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่ในบรรดาเครือนี้ อันนี้เวิร์คสุดสำหรับเรา

สุดท้ายเราก็แอบสมัครของ การบินไทย - Royal Ochid Plus เอาไว้ด้วย เพราะถึงแม้จะแพงกว่าเจ้าอื่นในทุกๆ ด้าน ...จริงๆ ก็เชียร์ Krisflyer มากกว่า ถ้าใครอยากได้บัตรฝั่งเอเชีย เพราะ Krisflyer ได้เครื่อง Singapore Airlines ที่ดูรวมๆ ดีกว่าของไทย และภาษาีน้อยกว่าในบางไฟล์ท 

เรื่องแลกแต้มบัตรเครดิตมาเป็นไมล์ ROP ก็น่าจะคุ้มสุด และหากรอหน่อย ก็อาจจะมีช่วงหั่นราคา ใช้ไมล์แค่ 50% ในการแลก แต่ก็แลกมากับการที่คะแนนหมดอายุภายใน 2 ปี

อ้อ ดอกจันอีกล้านดอก***อย่าแลกคะแนนบัตรมาเป็นไมล์ ก่อนที่เราจะแลกไปที่ไหน เพราะแลกมาแล้ว ไมล์อาจจะหายไป 2 ปี ถ้าเราไม่ใช้อะไร

Good luck with your miles,
KJ

Friday, October 19, 2018

Travel 101 : Perfect Boarding!, ขึ้นเครื่องครั้งแรก ทำยังไง ให้รอด

เนื่องมาจากไปเจอกระทู้ในเว็บชื่อดัง มีคนมาถามว่า ขึ้นเครื่องบินทำยังไงคะ ไม่เคยขึ้นเลย เลยรู้สึกว่า เอ๊ะ คนเราก็ต้องมีครั้งแรกเสมอ สมมติตอนนี้เราเชี่ยวชาญแล้ว สักพัก ก็จะมีคนมาถามอีก เพราะจะมีเด็กๆ ที่เพิ่งโต เพิ่งเคยขึ้นเครื่องครั้งแรกเสมอนั่นแหละ


credit : Smart Travel
เริ่มจาก Check-in กันก่อน

การเช็คอินปัจจุบนมีหลายวิธีมาก ตั้งแต่เช็คอินออนไลน์ในเว็บ ล่วงหน้าได้ถึง 72 ชม. หรือ 48 ชม. แล้วแต่สายการบิน เช็คอินที่ตู้ Kiosk ที่สนามบิน หรือจะไปต่อคิวที่เคาเตอร์ก็ได้...เอาเป็นว่า เช็คอินก็ต้องใช้

1. Passport 
- ถ้าเราเช็คที่เว็บไซต์ มือถือ มันก็จะให้กรอกรายละเอียดพาสปอร์ต ถ้าที่ตู้ ก็ให้เสียบพาสปอร์ตเข้าไป ถ้าที่เคาเตอร์ ก็แค่ยืนให้พนักงาน จบข่าว ง่ายๆ.
2. เลข Booking Number ที่ได้ตอนเราจองตั๋ว

ถ้าเราเช็คอินมาก่อน ก็จะรวดเร็วเวลาไปเข้าแถวมาก เพราะเราไม่ต้องต่อคิวยาว เราไปถึงสนามบิน ต้องตามหาแถว A B C D ก่อน ว่าสายการบินเราอยู่แถวไหน ดูในจอก็ได้ เขาเรียงลำดับตามเวลาเครื่องออก

เจอสายการบินแล้ว หากเช็คอินมาแล้ว ก็มองหาป้ายที่เขียนว่า Bag Drop / Web Check-in หมายความว่า เราไปถึงปุ๊ป เดินเข้าไปโหลดกระเป๋า ยืนพาสปอร์ตให้พนักงาน จบ! ชิลล์! ไม่ต้องมารอพนักงานกรอกข้อมูลนานๆ คิวยาวๆ แป๊ปเดียวก็ได้ Boarding Pass มาครอบครอง หรือบางที่มี Self Bag Drop ด้วย คือยกกระเป๋าขึ้นชั่งเอง ติด Tag ที่กระเป๋าเอง เราเคยใช้ครั้งนึง ไม่ยาก แต่จะงงๆ หน่อย ว่าแกะสติ๊กเกอร์ Tag มาติดตรงไหน กลัวกระเป๋าไปไม่ได้ถึง เพราะสายพานสแกนไม่เจอมาก 555 ส่วนใครยังไม่ได้เช็คอิน ก็รีบต่อคิวไปเลยจ้า


เช็คอินมาแล้ว ก็เดินเข้าไปนี้ ไปโหลดกระเป๋า พร้อมถือพาสปอร์ตไปให้เขาด้วยนะ
Credit : The Points Guy
ซึ่งหลายสายการบินเดี๋ยวนี้ ใครเช็คอินออนไลน์ ก็มีบอร์ดดิ้งพาสในมือถือด้วย ถ้าไม่โหลดกระเป๋า ไม่ต้องปริ๊นบอร์ดดิ้งพาส ใช้แสกนโค้ดในมือถือ ก็เดินขึ้นเครื่องไปเลยจ้า

แต่ถ้าไม่มีบอร์ดดิ้งพาส ขึ้นเครื่องไม่ได้นะ เพราะมันคือตั๋วสำหรับผ่านด่านต่างๆ จนเข้าเครื่องได้นั่นเอง



แวะมาที่การโหลดกระเป๋ากันก่อน มาตรฐาน Economy หรือตั๋วถูกนั้น ก็โหลดได้ 1 ใบ น้ำหนัก 23 kg. หรือบางสายการบินก็ 30 kg. หรือไฟลท์ไปญี่ปุ่น จากไทยบางสายการบินได้ 2 ใบ ด้วย ฉะนั้น ไม่มีมาตรฐานของทั่วโลก อ่านรายละเอียดของแต่ละไฟลท์ให้ดีก่อนกดซื้อ และหลังซื้อตั๋วนะคะ

ส่วนกระเป๋าขึ้นเครื่อง มาตรฐานคือ กระเป๋าถือ 1 ใบ กระเป๋าสัมภาระ 1 ใบไม่เกิน 7 หรือ 10 kg. เช่น สมมติมีกระเป๋าลากใส่เสื้อผ้า 1 ใบ เราอาจจะมีกระเป๋าถือผู้หญิงอีก 1 ใบได้ บางคนแอบมีกระเป๋ากล้องสะพาย หรือกระเป๋ษคอมอีกสัก 1 ใบได้อยู่ ที่ไทยก็ค่อนข้างหยวนๆ แต่บางที่ โดยเฉพาะญี่ปุ่น คือห้าม ! คือ 2 ใบที่กำหนดเท่านั้น แถมยังต้องเอามาจับชั่งรวมอีกด้วย ใครเกินก็ต้องเอาออก หรือจ่ายเงินเพิ่ม หรือหลายใบ ก็ต้องยัดๆ รวบๆ ให้จำนวนใบตามที่เขากำหนด

ศึกษาเรื่องกระเป๋ากันให้ดีก่อนออกบินนะ



หลังจาก Check-in ได้ Boarding Pass มาก็เดินตามไปป้ายไปเลยว่า Departure คือขาออก
ใครจะ Domestic ภายในประเทศก็ไปทางนั้น เพราะมันไม่ผ่านตม. ใครไปต่างประเทศ ก็เข้า International ไป ถือบอร์ดดิ้งพาส แนบไปกับพาสปอร์ตในทุกๆ ทีเลยนะ

พอผ่านเข้าไปจะเจอด่านสแกน ทิ้งจ้าทิ้ง !!!! น้ำหรือของเหลวห้ามเกิน 100 ml. ต่อชิ้น หรือถ้าขวดน้ำเขียนว่า 200 ml. มีน้ำอยู่จิ๊ดเดียว ก็โดนทิ้งนะ แต่ถ้าเทน้ำออกหมด เอาขวดเปล่าเข้าไปก็ได้อยู่ในบางประเทศ และพวกของเหลว ของมีคม แก๊ส ของติดไฟ ของอันตราย จับโยนให้หมดจ้ะ ส่วนใหญ่เจอคนลืมคือ ครีม นม น้ำหอม คัดเตอร์ กรรไกร และพาวเวอร์แบงค์

สำคัญมากคือ พาวเวอร์แบงค์ ต้องมีขนาดความจุชัดเจน ถ้าตัวหนังสือเลือนๆ คือที่สุวรรณภูมิเขาจับทิ้งหมดนะ

ด่านนี้ไม่ยาก แค่ถอดของไปสแกนให้หมด แล้วเดินๆ ตามเขาไป จบ 
Credit : CGTN
จากนั้นเราจะมาผ่านตม.เพื่อออกนอกประเทศ ก็ไม่ยากอีกนั่นแหละ ถ้าเป็นแบบคน ก็แค่เดินเข้าไป ยื่นบอร์ดดิ้งพาส กับยื่นพาสปอร์ต เขาก็ดูๆ ปั๊ม ถ้าเป็นแบบ Auto Gate หรือเขาเรียกว่าแบบอัตโนมัติ แต่ว่าก็มีคนเฝ้าอยู่ดี (เปลืองทรัพยากรจัง) ก็เริ่มจาก..

1. เอาพาสปอร์ตสอดเข้าไปสแกน แนะนำว่าถอดปกที่เราใส่ไว้ (ถ้ามี) แล้วดันเข้าไปให้สุดพร้อมกับปกของพาสปอร์ตเลย บางคนเลือกสอดแต่หน้า 2 ซึ่งเป็นหน้าข้อมูล มันจะดันเข้าไม่สุด พอสแกนผ่าน มันจะให้ใส่เลขไฟลท์บิน
2. เราสามารถใส่เลขไฟลท์บิน โดยสแกนบอร์ดดิ้งพาสได้ หรือจะพิมเอาก็ได้ ถ้าใส่เสร็จ ประตูจะเปิด เดินเข้าไปด่านต่อไป
3. ถ่ายรูปจ้ะ มองกล้องด้านบนจ้ะ แต่แอบสูงนะที่สุวรรณภูมิ เงยหน้าเยอะมาก
4. สแกนนิ้ว เอานิ้ววาง ไม่ติดก็ยก แล้ววางใหม่ จริงๆ มันต้องเช็คทำความสะอาดหน่อย แต่เขาไม่ค่อยเช็ค มันเลยสแกนยากนิดๆ
5. ถ้าทำถูกทั้งหมด เดี๋ยวเครื่องมันก็เปิดให้เดินออกไปเองจ้า



ผ่านตม.ไปได้ ก็ได้เวลาช้อปปิ้ง หรือจะไปนั่งพักที่เลาจ์ สำหรับคนมีบัตรสิทธิพิเศษต่างๆ หรือจะหาของกินก็แล้วแต่สะดวก ตอนนี้ทั้งบัตรกรุงศรี หรือ KTC ที่เป็นของ JCB (คือมันมีหลายเจ้านะ ทั้ง Visa, Master Card, American Express แต่จงจำไว้ว่า ให้เลือก JCB) สามารถเข้า Lounge ได้ฟรี ในหลายประเทศฮิต ย่านเอเชีย ไม่ว่าญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ นั่งเล้าจ์กินอาหารได้ หรือพักผ่อนกิจกรรมต่างๆ ของเล้าจ์ได้ สบายบรื๋อ ...เก๋สุด อะไรสุด ลองไปสมัครกันได้จ้า คลิกที่รูปได้เลย สำหรับ KTC ฟรีค่าธรรมเนียมสมาชิกตลอดชีพจ้า 

แต่ก่อนไปช้อปปิ้ง แวะดูหน้าจอเวลาเครื่องออก และ Gate ที่เราต้องไปขึ้นเครื่องสักนิด จริงๆ มันมีในบอร์ดดิ้งพาส แต่เราควรอัพเดทตลอด เพราะมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้

ควรเดินไปที่ Gate ก่อนเวลาขึ้นเครื่องสัก 1 ชม. เพื่อรอพนักงานเรียกขึ้นเครื่อง หรือง่ายๆ คือควรขึ้นเครื่องเรียบร้อยก่อนออกสัก 30 นาที ปกติเขาจะแจ้งว่า ถึงเครื่องก่อนเวลาออก 40 นาที บางครั้งก็เลท บางครั้งก็เร็ว ไปถึงคนขึ้นไปหมดแล้วก็มี

ฉะนั้น รีบไปก่อนเวลาไว้ดีที่สุด

พอถึง Gate ก็ไม่ยากแล้ว รอเวลาพนักงานเรียกขึ้นเครื่อง ขึ้นไปนั่งตามเลขที่นั่งระบุไว้บนเครื่องบินเป็นอันจบ


Msig ประกันภัยท่องเที่ยว Travel Insurance

Sunday, August 12, 2018

Wander Westcoast 1.0 : One Day Roadtrip อเมริกา, Portland ดินแดนสีเขียว

เรียกว่าโดดดึ๋งมา 2 ปีเลยแหละกว่าจะได้ลงรีวิว Portland อันนี้ อาจจะไม่ได้อัพเดทข้อมูลอะไร แต่เอาไว้แชร์เป็นประสบการณ์ละกัน สำหรับ Portland ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Ozone ของอเมริกา เมืองที่สีเขียวมากๆ ทั้งจากความเป็นต้นไม้ และความรักษ์โลก เป็นเมืองแรกที่งดใช้ถุงพลาสติก

เริ่มแรกเราลงเครื่อง Los Angeles พักแวบนึงใน la เตร็ดเตร่ย่าน Hollywood กินราเมนย่าน Japan Town แล้วบินต่อมาถึง Portland ตอนดึก 4-5 ทุ่มเลย ด้วยสายการบิน Southwest เลือกที่นั่งแบบใครมาก่อนก็ได้นั่งก่อน แต่จะเรียกขึ้นเครื่องตามโซนที่อยู่บนหน้า Boarding pass เราไปถึงเร็ว เลือกที่นั่งแบบโล่งๆ เรียบร้อย ก็มีคนนั่งมาเต็มลำอยู่เหมือนกัน แต่ป้าข้างหลังที่ก็เป็นมิตร พูดคุยกะเพื่อนหน้าใหม่คนข้างๆ ตั้งแต่เครื่องออกยันจะแลนด์ดิ้ง แต่ก็ทำให้เห็นว่า คนอเมริกันเขาก็เป็นมิตร คุยกันได้ ก็คุยเม้ามอยกันยาว คนแถวหน้าป้าอย่างเราก็เลยอดหลับไปด้วย

เรานอน Airbnb ที่อยู่ค่อนไปทางนอกตัวเมืองหน่อย เพราะย่านที่พักอาศัยในอเมริกาส่วนใหญ่จะถูกแยกออกจาก Downtown พอเราไปถึงกว่าจะเอากระเป๋า กว่าจะขึ้น Tram แล้วต้องต่อรถอีก กลัวไม่ทันแน่ๆ ก็จัดการโบก cab ไปเรียบร้อย ลองสุ่มเสี่ยงเรียกจากสนามบินแบบไม่ใช้ Uber หรือ Lyft ดู ซึ่งก็โอเค พี่แท็กคนนิโกรอุตส่าห์บอกว่ามีเบอร์เจ้าของบ้านรึยัง โทรบอกเขารึยัง ให้รอจนเขาออกมารับไหม เราก็กลัวเอ๋อ เลยบอกพี่แกไปว่า อย่าห่วงจ้า สรุปกูเนี่ย หาทางเข้าบ้านไม่เจอ 555
บ้านสีเทาๆ เนี่ยแหละค่ะ ห้องอยู่ชั้นบน ริมหน้าต่างฝั่งหน้าบ้านเลย เขามีห้องให้พักได้ 3 ห้อง เจ้าของอยู่ชั้นล่าง
เพราะเจ้าของบ้าน Airbnb เขาบอกไว้ว่าบ้านเขาเข้าได้ 24 ชม.เลย มาดึกแค่ไหนก็อย่าห่วง เปิดประตูหลังบ้านได้เลย ความงงคือ บ้านเขาไม่มีรั้วระหว่างบ้านเท่าไหร่ แล้ว 2 ฝั่งมีสโลป รถขึ้นไปจอดเหมือนกัน เลยสุ่มเดินไปเปิดประตู โชคดีว่าถูกบ้าน เขาก็บอกห้องมาเรียบร้อยตั้งแต่ใน message ของ Airbnb ไม่มีงง หลง แต่ความช็อคกว่าคือ ห้องน้ำประตูติด โชคดีเอามือถือเข้าไปด้วย เพื่อนเลยช่วยไว้ได้ เรียกว่าใจหายใจคว่ำในคืนนั้น

และตื่นเช้ามาเราก็ตัดสินใจกันทันทีว่า เอ้อ เราจะขับรถ เพราะเล็งมาแล้วว่าอยากขับรถ หากระทู้ ศึกษาวิธีการไว้แล้ว แต่ไม่ได้จองรถ เจ้าของบ้านแนะนำเว็บนึงไว้ เหมือน Airbnb แต่เป็นเช่ารถของคนในย่านนั้นๆ ฟีลแบบยืมเพื่อน เขาจอดไว้เฉยๆ ราคาก็จะไม่แรง แต่... เราไม่ได้ Verify แอพมาจากบ้าน เราไม่มีเบอร์ที่นี่ เลย อด!

อดแรกผ่านไป ไม่เป็นไร เปิดตึ้ดๆ เจอ Enterprise ให้จองรถวันนี้ ราคาถูก เราก็เอา อยากขับนี่หน่า 55 แต่วันนั้นวันเสาร์มั้ง สาขาที่เปิด ไปนู่นเลยจ้าาาา นั่งรถไป 45 นาที ก็รีบไปกัน โดยเทสรถประจำทางเป็นครั้งแรก เบอร์สายตามที่กูเกิ้ลแมพแนะนำ

ความน่ารักกุ๊กกิ๊กของเมืองนี้ก็เริ่มขึ้นตอนเดินไปป้ายรถเมล์ ผ่านซุปเปอร์มาเก็ต เขาก็แจกฟรีผัก ผลไม้จากสวน เราก็เดินผ่าน เชี่ย เขาแจกฟรีจริงเหรอ เดินกลับไป ได้มะเขือเทศฟรีมาเข่งนึง เริ่ด! ขอถุงใส่ เพราะต้องเดินทาง เขาก็ให้ด้วย โดยไม่ได้ซื้ออะไรที่ร้านเลย แต่ก็ลำบากชีวิตการหิ้วของพะรุงพะรังของกูไปอีกกกกก
ร้านป้าในภาพเลยค่ะ ของฟรี! ถึงกับต้องเดินกลับไป
แต่รถประจำทางที่นี่งงจริง งงแบบยังไงก็ไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าตอนแรกจ่ายเงิน จะได้บัตร บอกเวลาว่าขึ้นได้ถึงกี่โมง แต่...แต่ ตอนเช้าเราขึ้น บอกจะซื้อเดย์พาส เขาบอกไม่ต้อง ขึ้นฟรี กูก็งงไปอีกกกกก คือมันไม่มีเงื่อนไขตายตัวบอกตอนไหนเลยว่าขึ้นฟรี จะใจดีได้ แต่อย่าให้หนูงง

พอได้รถมาก็ซิ่งไปตามรูทนี้เลย

เส้นทาง : ทางหลวงหมายเลข 84 แล้วไปวนกลับตรงตัวเมือง Hood River ข้ามฝั่งไปวิ่งทางหมายเลข 14
เส้นนี้ถือว่าเบสิคสุด ใจจริงเราอยากไปเส้นที่เป็น Coast ชายฝั่งมาก แต่คิดว่า น่าจะเสียเวลา และเราไม่คล่องทางเท่าไหร่ สุดท้ายก็เลือกรูทง่ายๆ เราขับไปทางหลวงหลักหมายเลข 84 เป็นคล้ายๆ ทางด่วน แต่ไม่เสียเงิน แล้ววนข้ามสะพานไปวิ่งฝั่งรัฐ Oregon หมายเลข 14 เลาะริมน้ำไปเรื่อยๆ ถนนขับแยกเลนกัน ขับง่าย มีป้ายบอกทาง ยิ่งถ้ามี gps ไม่งงเลย มีช่วงออกจากทางหลวงไปเลาะบนภูเขา ด้วยความที่เขาขับกันกำหนดความเร็วอยู่แล้ว และเคารพกฎเรื่องเส้นจราจรมาก ฉะนั้นไม่มีใครแซง หรือบีบแตรไล่ ขับกันชิลล์เว่อร์ แต่ก็มีช่วงแซงได้ เราก็ชิดขวา ให้เขาแซงไป
วิวจาก Woman's Forum
จุด Stop แรก : Woman's Forum
Vista House ตรง Crown Point
ภายใน Vista House เป็น Museum
วันเสาร์พอดี เลยเจอฝรั่งมาท่องเที่ยวกันเต็มเลย
ลานจอดรถที่ Multnomah Falls รถติดยาวมาก คนก็ค่อยๆ ขับ รอหาที่จอดไป ดูชีวิตไม่เร่งรีบ
มีร้านอาหาร พิซซ่าอร่อยพอประมาณ เค้ก ไอศครีม และของที่ระลึกให้แวะซื้อกันได้
Multnomah Falls เป็นไฮไลท์การท่องเที่ยวรูทนี้เลย คนเลยเพียบ

Glass Drop ของที่ระลึกของเรา ชอบมาก เป็นหินสีๆ ที่เกิดจากทรายหลอมละลาย
เขาบอกว่าอันนี้มาจาก ขี้เถ้าภูเขาไฟ St. Halens
Lavender Farm ที่แวะเพราะหลงทาง จอดถ่ายวิว สรุป ได้เข้ามาเสียเงิน ซื้อสบู่ไปก้อนนึง
จริงๆ มีอีกหลายจุดให้แวะมาก เช่น Cascade Rocks หรือน้ำตกเล็กๆ มีคนลงไปเเล่นน้ำได้ แต่เราแวะผ่านๆ หรือในตัวเมือง Hood River ก็มีร้านอาหาร มีวิวมาแวะทานข้าว แวะชิลล์ได้ หรือบางคนจะขึ้นไป Mt.Hood เพื่อชมวิวภูเขา เดินป่าเลยก็ได้ แต่เราหลงทางซะก่อน กลัวไม่ทันคืนรถ เลยรีบกลับกันก่อน

สุดท้ายของวันนี้ เอารถไปคืน ร้านปิดแล้ว ก็คืนโดยการจอดทิ้งไว้ แล้วหย่อนกุญแจไว้ในกล่องหน้าร้าน ถ้าเขาตรวจรับรถแล้ว รถเป็นรอยหรืออะไรก็จะชาร์จบัตรเครดิตเราไป หรือตามประกันที่เราทำ ถ้าครอบคลุมหมด ก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่ม

จากนั้นก็เข้าเมืองไปหาอะไรกินนิดหน่อย ซึ่งเดินหาร้านที่เปิดนานมาก ทั้งที่แค่ 2-3 ทุ่ม เมืองเงียบสงัดทีเดียว ถ้าเทียบกับกรุงเทพฯ เลยต้องจัด Subway fastfood ไม่กี่ร้านที่เปิดอยู่แก้หิวกันไป แล้วนั่งรถไฟฟ้ากลับที่พัก ก็สบายเลย เดินต่ออีกนิดหน่อยจากสถานีก็ที่พัก ชุมชนแถวนี้ก็เงียบกริบกันแล้ว

สรุปว่า เวลา 1 วันเต็มๆ ที่จะได้เที่ยว Portland เราก็ไป Day Trip กันนอก Portland ซะงั้น ตามสไตล์ตามตะลอนของเราและเพื่อน เหลือเวลาช่วงเช้าวันต่อไปอีกวัน ที่จะได้เที่ยวในตัวเมือง ก่อนจะนั่งรถต่อไป Seattle 


See y'all next episode,
KJ (went with Tarnrav)



Most Unique & Unusual Hotels | 'โรงแรมแปลก' ที่ต้องไปพักสักครั้งในชีวิต

แม้ว่าส่วนใหญ่โรงแรมก็จะสร้างให้สวยงาม แล้วมีโทนสี ตีมหลักๆ ของโรงแรมต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะเน้นโมเดิร์นสวยงาม แต่ภายในห้องพักก็หน้าตาคล้ายๆ กัน พอได้ไปตุรกี ก็พบว่ามีโรงแรมถ้ำในเมืองคัปปาโดเกีย ที่ดัดแปลงมาจากการขุดถ้ำในอดีตของตุรกี แล้วทำเป็นห้องๆ ไป

เราเลยค้นพบว่ามีบทความรวมโรงแรมแปลกไว้ทั่วโลกอีกมากมาย เลยคัดเลือกที่เด็ด ถือว่าเป็น Bullet Point สำหรับเราไว้เตรียมตัว เผื่อได้ไปพักบ้าง

1. Capsule Hotel, Tokyo, Japan

แน่นอนว่าแคปซูลโฮเทล มีอยู่มากมาย และคนไทยเริ่มคุ้นเคย เพราะไปญี่ปุ่นกันเป็นบ้านหลังที่ 2 เลยล่ะ  ความน่าสนใจคือ มันเล็ก ราคาถูก และสะดวกในการเข้าพัก คือไปคนเดียวก็เข้าไปพักได้เลย แบบเป็นรายชั่วโมงก็มี บางคนถึงกับจองโรงแรมนอนปกติ แต่คืนนึง ขอลองไปนอนแคปซูลยังมี



2. Inntel Amsterdam Zaandamn, Amsterdam, Netherlands

บ้านทาวเฮ้าส์อันเป็นเอกลักษณ์ของอัมสเตอดัม ถูกนำมาซ้อนกัน เป็นรูปร่างหน้าตาที่แปลก เขาบอกว่า facade สร้างมาจากชิ้นส่วนของบ้านของคนงานถึง 70 หลัง



485*125
3. The Caves, Negril, Jamaica

ที่พักวิวถ้ำริมหน้าผาสุดอลังการในความสวยงามของธรรมชาติ ตัวที่พักเองจะเป็นเคบิน อยู่ในสวนบนผา แต่ทีเด็ดอยู่ที่ จุดดินเนอร์พิเศษในช่องหินเล็กๆ ที่มาทานข้าวที่นี่สักครั้งในชีวิต คงจะได้บรรยากาศและประสบการณ์ใหม่ไปอีก



4. Giraffe Manor, Nairobi, Kenya

หนึ่งในตึกที่โดดเด่นของไนโรบี ที่เก่าแก่ และดังในเรื่องของยีราฟอันแสนเป็นมิตร  เหมือนพอได้เวลา เจ้ายีราฟก็จะมุดหัวเข้ามาขออาหารกินเป็นประจำ



5. Kakslauttanen Hotel, Saariselkä, Finland

จริงๆ โรงแรมในเมือง Lapland ของ Finland หรือที่ Iceland ก็มีหลายที่ที่เข้าตา เหมาะทั้งมาสัมผัสอากาศหนาว และเฝ้าแสงเหนือ แต่ถ้าให้แปลกแตกต่างที่สุด คงต้องยกให้โรงแรม igloo style แห่งนี้ เพราะนอกจากหน้าตา รูปร่างมันเหมือน igloo สุดๆ แล้ว มันก็ยังเป็นหลังคากระจก ที่ให้คุณเฝ้ามองแสงเหนือได้ตลอดคืน



6. The Manta Rasort, Pamba Island, Tanzania

คิดว่ารีสอร์ท Hurawalhi ที่มัลดีฟส์เจ๋งแล้วกับห้องอาหารใต้น้ำ แต่ที่แทนซาเนียเด็ดกว่าด้วยห้องนอน ที่ให้นอนมันใต้น้ำเนี่ยเลย

7. Jumbo Stay, Stockholm Arlanda Airport, Sweden

หลายคนชอบเที่ยว นอนสนามบินมาก็มากมายแล้ว ถ้าหากต้องไปนอนที่สวีเดน ขอให้เลือกนอน Jumbo Stay เพราะจะได้บรรยากาศนักท่องเที่ยวชอบบินมากที่สุด ห้องมาจากเครื่อง Jumbo Jet ตั้งแต่ปี 1976 นอนแล้วยังเห็นทั้งค็อกพิท ทั้งวิวสนามบินเปิดโล่งรอบๆ ไม่แน่ตื่นมาอาจจะได้ก้าวขึ้นเครื่องเลยก็ได้

จัดเบาๆ สัก 7 ที่ให้ได้หาเวลาไปกันก่อน จริงๆ แล้วมีอีกหลายที่ที่น่าสนใจ ทั้งบ้านต้นไม้ในสวีเดน ที่มีทั้งแบบหน้าตาปกติบ้านไม้ หรือจะหน้าตาแบบ UFO หรือโแรงแรมกลางแม่น้ำในอินเดีย วิว 360 องศา ก็มีให้เลือกไปพัก หรือจะโรงแรมที่เป็นห้องสมุดใจกลางนิวยอร์ค เรียกว่าขนหนังสือมาหมด Public Library แล้วยังโรงแรมที่ปรับปรุงจากคุกเก่า แล้วยังรักษาบรรยากาศเอาไว้

เรียกว่าใครชอบตีมไหน ชอบแปลกแค่ไหนลองหาอ่านดูต่อได้ที่นี่ Telegraph 


Credit :: Content, Photo from Telegraph 
485*125

Tuesday, November 15, 2016

Wander Westcoast 0.2 : เช่ารถขับในอเมริกา

จากทริป #WanderWestcoast ที่เราได้ไปตะลอนอเมริกามา 9 วัน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก็เปิดประสบการณ์ใหม่ของเราในการขับรถพวงมาลัยฝั่งซ้าย ขับเลนฝั่งขวาค่ะ


แพลนครั้งนี้เราตั้งใจจะขับรถแบบข้ามเมือง Portland > Seattle แต่เวลาเราไม่พอ ค่าเช่ารถแบบคืนข้ามเมืองแพงด้วย เพราะจองกระชั้น บวกเราก็ไม่มั่นใจด้วยว่าจะขับได้ 555 ....สุดท้ายเลยได้ขับแค่ 1 วันเที่ยวรอบๆ Portland 


จะเริ่มขับรถเที่ยวในต่างประเทศไม่ยากค่ะ 

ไปขอใบขับขี่นานาชาติที่ขนส่งค่ะ > เสียตังค์ปุ๊ป > ได้เลย 

ใครสะดวกจองรถไปก่อนก็จองไปเลยค่ะ แต่อย่างเราไปตายเอาดาบหน้าอีกแล้ว 555 เราลังเลๆ เลยขอไปถึงนู่น และดูสถานการณ์ก่อนว่าจะขับได้ไหม ถ้าขับไม่ได้ก็เปลี่ยนแพลนเที่ยวในเมืองเอา 

ทาง host Airbnb ก็แนะนำเว็บนึงค่ะ Getaround เป็นเวบเช่ารถแบบ Airbnb คือเอารถคนทั่วๆ ไปที่เขาไม่ใช้ไปขับ คล้าย Airbnb แต่เป็นรถ ซึ่งราคาถูกกว่าร้านเช่ามาก แต่เราก็ไม่รู้เรื่องประกันครอบคลุมอะไรไหมนะคะ อาจจะต้องถามกับคนเช่าอีกที แต่ประเด็นคือแอพมันต้องลงทะเบียนค่ะ เราไม่มีเบอร์ US…. กรีดร้องงงงง 

*** ใครจะไป โหลดแอพ ลงทะเบียนให้เรียบร้อยจากไทยนะคะ

สุดท้าย เลยต้องเช่ากับ Enterprise ซึ่ง google หาเอาเช้าวันที่จะเช่าเนี่ยแหละ แถมร้านอยู่ในเมือง แต่ต้องนั่งรถเกือบ 40 นาที ก็ดุ่มๆ ไปกัน ก็เช่ารถ ซื้อประกันไป ก็ไม่แพงเท่าในสนามบิน เพราะไม่ต้องเสียค่า fee ต่างๆ (ปกติรถเช่าสนามบิน จะมี fee พิเศษที่แพงกว่าปกติค่ะ) แต่ไม่ได้ส่วนลดจากการจองล่วงหน้านาน



Remarks

- ขับพวงมาลัยซ้ายไม่ยากค่ะ แรกๆ แค่จะงง 
เราก็หลง วนๆ ในซอยไปสักพักจนคล่อง (จริงๆ ไม่ได้ซ้อมหรอก... หลง) 

- เวลาเลี้ยวจะเสียวๆ เบียด ก็ตีโค้งระวังหน่อย 
เราล้อเบียดฟุตบาทไปแป๊ป เพราะหลบกรวยทำถนน โชคดีรถไม่เป็นไร 

 - ขับความเร็วตามกำหนดนะคะ แต่เราก็เห็นมีคนขับเกินอยู่บ้าง 
ระวังช่วงเปลี่ยนนอกเมือง มาเข้าตัวเมือง มันจะมีจับความเร็วอยู่ เห็นเลขที่เราขับมาเลย เราก็ตกใจเหยียบเบรกไปแรงเลย 

 - วิ่งมาเลนหลักไม่ต้องหยุดตรงซอยยิบย่อยนะคะ ถ้าไม่มีป้ายหยุด 
คือด้วยความเคยชิน เวลาเราเห็นรถจ่อปากซอยจะออก เราจะชะลอค่ะ ข้างหลังนี่บีบแตรลั่นเลย 
เพราะเราต้องไปก่อน รถออกจากซอยต้องรอให้ถนนโล่งถึงจะไปได้ค่ะ 

- Google Maps นำทางได้โอเคค่ะ ถ้าจะวิ่งแค่เส้นหลักๆ ไม่ต้องเช่า GPS ก็ได้ 
แต่ต้องมีชาร์จโทรศัพท์สำรองไปหน่อยนะคะ เปิด GPS ตลอดนี่กินแบตมาก




เป็นครั้งแรกที่ขับ Subaru เลย ขับไปจุดพักระหว่างทาง มีฝรั่งมาทักเรื่องเหมือนยางไม่ดี ดอกยางหาย ทำเอาเสียว แต่ก็โอเค ขับผ่านมาได้ด้วยดี




ความกลัวของเรานอกจากขับรถพวงมาลัยฝั่งซ้าย คือ เติมน้ำมันเองค่ะ ก่อนไปนี่เปิดทุกเว็บจริงๆ ว่าเติมน้ำมันยังไง 555 

แต่ Portland มีเด็กปั๊มเติมน้ำมันให้ค่ะ ไม่ต้องเติมเอง อดเลย

Wander Westcoast 0.1 : ประสบการณ์ขอ Visa อเมริกา เวอร์ชั่น สัมภาษณ์โหด ! -- 'ผู้หญิงเที่ยวคนเดียว'



ด้วยบุญบารมีจาก Qatar Airways หั่นราคาเซลล์กระหน่ำเมื่อต้นปีค่ะ เราจึงสบโอกาสจองตั๋วกับเพื่อนไปตะลอนฝั่งตะวันตกถึง 9 วัน (ก็ลางานได้เท่านี้จริงๆ อ่ะ) 

แต่ทว่าลำดับแรกในการไปอเมริกานั้นคือ???

ขอวีซ่า

เราต้องเผชิญการขอวีซ่าแบบ ‘ผู้หญิง’ ‘ตัวคนเดียว’ ซึ่งเราไปเล่าประสบการณ์ในหลายกระทู้มากว่าสำหรับเราคือ 'โดนโหดมากกกกกกกก' แต่ผ่าน!

รบกวนไปศึกษาขั้นตอนการสมัครในพี่กูเกิ้ล หรือกระทู้ Pantip เก่าๆ นะคะ มีเยอะมาก บอกเลยแค่เม้าท์เองก็ยาว ถ้าอธิบายด้วยต้องยาวไปอีก ก็เลย...อย่าดีกว่า ไปอ่านของเขาเถอะ เขาทำไว้ละเอียดมาก


http://pantip.com/topic/35021980


ขั้นตอน 1 - กรอกข้อมูล 
กรอกไปเลยค่ะ เขาอะไรก็กรอกไป ซึ่งขั้นตอนนี้แนะนำว่าให้กรอกเอง ถ้ากรอกเองไม่ได้ให้หาคนช่วยกรอก แต่ให้นั่งกรอกไปด้วย
เพราะมันจะมีประโยชน์เวลาเข้าไปสัมภาษณ์ค่ะ


ขั้นตอน 2 - ไปสมัครสมาชิกเวบไซต์ที่ไว้จองสัมภาษณ์ สมัครเสร็จ กรอกช้อมูลเสร็จ จะสามารถจ่ายเงินได้ 
ก็ไปจ่ายเงิน จ่ายเสร็จก็กดจองวันสัมภาษณ์ให้เรียบร้อย


ขั้นตอน 3 - ไปสัมภาษณ์ (ซึ่งก่อนหน้านี้เราควรไปขอหลักฐานนานา มาไว้ก่อน และนำไปสัมภาษณ์ด้วย แม้เขาจะไม่ถามก็ตาม)


*******

ประสบการณ์โดนสัมภาษณ์แบบโหด ถ้าสเกล 1-10 คงสัก 8

เราเข้าไปก็ฝากของอะไรตามปกติ แต่ด้วยคามเสล่อ เราเดินเลยบูทเล็กๆ ที่ไว้เช็ค คอนเฟิร์มคิว ติดพวกรหัสไว้เช็ค EMS ด้านหน้า เราดันเข้าห้องไปเลย ต่อคิวไปถึงช่องแรก ตรวจเอกสาร อ้าว...กลับไปใหม่ค่ะ ไม่ได้ตรวจมา ด่านแรกก็เอ๋อแล้ว

ก็รันตามแถวไปเรื่อยๆ ตรวจเอกสารไป ฟังคนรอบๆ คุยไป จะไปนู่นไปนี่ บางคนก็พานิค พารานอยด์ หวาดกลัวกันไป เราก็เหล่ไปเจอเจ้าหน้าที่กงศุล คนที่คอยแสกนลายนิ้วมือแซ่บค่ะ ยิ้มร่าไปสแกนนิ้วเลย ผ่านไปด้วยดี

พอมาต่อคิวสุดท้าย 'สัมภาษณ์ชี้เป็นชี้ตาย' เห็นคนก่อนหน้าก็มีรอดบ้าง ตายบ้าง บางคนก็สปีคอิงลิชเป็นไฟ เราก็เฉยๆ ไม่ได้หวาดกลัว ไม่ได้รู้ตัวเล้ย สักพักเจ้าหน้าที่สแกนลายนิ้วมือสุดแซ่บคนนั้นก็เปิดช่องใหม่ และเรียกเราไปเผชิญหน้าคนแรกค่ะ ก็เดินยิ้มสยามเข้าไปทันที

เขาถามแค่ ไปไหน ไปกี่คน - เราตอบคนเดียว เพราะตอนแรกที่ไปขอ คือยังเพื่อนยังไม่รู้จะไปไหม ขอก่อนตั๋วเซลล์ออกอีกนะเทอว์ 

(ตอนนั้นยังไม่จองตั๋ว กะไปขอไว้ก่อน เพราะว่าจะไปใน 1 ปีนี้ ซึ่งเราไม่มีหลักฐานตั๋ว โรงแรม หรืออะไรทั้งนั้น)  

เขาถามเคยไปไหนมาบ้าง ก็สาธยายไป พอสาธยายจบเท่านั้นแหละ ผมไม่ให้คุณผ่าน!
เรา What? ทันที ทั้ง  What Why How มาหมดเลย ถามไปเลย ทำไมล่ะ ถ้าไม่ให้ผ่านแล้วจะไปเที่ยวได้ยังไง

เราก็ถอดใจ แต่คิดยังไงไม่รู้ เลยถามไปว่า ถ้าไปคนเดียวไม่ให้ไป แต่ถ้าไปพร้อมครอบครัวคุณจะให้ไปใช่ไหม? คราวหน้ามาขอพร้อมครอบครัวได้ใช่ไหม? เขาบอก ถ้ามาขอพร้อมครอบครัว ผมก็ไม่ให้ เพราะคุณมีเจตนาไม่ดี เราไม่เชื่อคุณแล้ว

What ?????? 

โอโห้ นี่ขึ้นเลย นี่ตรรกะอะไร ก็สาธยายไปเลยค่ะ แล้วถ้าไปเที่ยวที่อื่นได้ 
แต่ฉันจะไปอเมริกาไม่ได้ เพราะไม่ผ่านวีซ่าอยู่ประเทศเดียว บลา บลา บลา 
.... 
....
....
ตอนนั้นคือสติแตก คือสงสัยมากว่าทำไมถึงไม่ให้ แต่คำตอบคือ เพราะผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่น่าเชื่อถือ

แต่เขาก็ไม่คืนพาสปอร์ตเรามา เราก็สาธยายถามนู่นนี่กลับ ว่าทำไม ทำมาย ทำม๊ายยยยยยยยยย?? 
เขาก็คลิกคอมไปเรื่อยๆ ถามสิ่งที่เรากรอกไปด้วยค่ะ ซึ่งเราก็ตอบตามที่เรากรอกเป๊ะมาก 
เราถามอีก แล้วทำยังไงถึงจะได้ไป จะเอาหลักฐานอะไรไหม เขาก็ไม่เอาค่ะ กลับถามเราไปเรื่อยๆ 

ก็ตอบหมดทุกคำถามชอบนู่น ชอบนี่ จะไปเที่ยวนี่ หลังๆ นี่เริ่มไทยประโยค อังกฤษประโยค 
เพราะเดี๋ยวเขาก็พูดไทย เดี๋ยวเขาก็พูดอังกฤษ 
คืองงมาก สติแตกไปแล้ว ถ้าเห็นหน้าตัวเองคือต้องเอ๋อมาก

จนสุดท้ายเขาก็บอก โอเค ผมให้คุณผ่าน แต่ถ้าคุณโดด ผมจะเอารายชื่อคุณขึ้น Blacklist ติดประกาศ ฟีลว่าจะประจานฉันให้ถึงที่สุด ...ตอนนั้นคือถอนใจหาย แล้วบอก Thank You ดังมาก ก่อนรับเอกสารเพื่อสำหรับไปยื่นไปรษณีย์คืน มีการยืนยันเขาไปอีก I love my job. ฉันไม่หนีหรอกน่า

แต่พอหันหลังกลับออกมา ช็อคตัวเองนิดหน่อย เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นคือจำไม่ได้ รู้สึกว่าคุยเสียงดังมากแน่ๆ คนรอบๆ ต้องมองด้วยความสนใจ 5555 

ฉะนั้น...ขอยืนยันว่าอเมริกาไม่ได้โหดร้าย ถ้าคุณพร้อม ไปไฟว้สักตั้งเถอะค่ะ


*******


- ใครบอกเงินน้อย เงินไม่พอ ...ไม่ต้องกลัวค่ะ ถ้ามีเงินเดือนประจำ
ถ้าไปเที่ยวแบบไม่กี่วัน (ไม่ใช่ 3-4 เดือน) เงินในบัญชีเงินเดือนเราเหลือหลักหมื่นต้นๆ 
เขาก็ให้ผ่าน ไม่สนใจจะถามหลักฐานด้วยซ้ำ เพราะเรากรอกไปแค่ว่าเงินเดือนเราเท่าไหร่
แต่เราไม่ได้กรอกว่ามีเงินเก็บเท่าไหร่ แต่ว่าพอเสตจเม้นท์เงินเก็บไป เผื่อถาม


- ยังไม่รู้ไปเมื่อไหร่ ก็สุ่มกรอกโรงแรมไปค่ะ 
ปกติหลายคนสงสัย และถามมากกว่าช่อง Contact กรอกอะไร ที่พักกรอกอะไร งั้นเราต้องจองโรงแรมก่อนใช่ไหม?

คำตอบคือ กรอกโรงแรมสุ่มๆ ไปค่ะ Contact ก็โรงแรมนั่นแล แต่เอาเมืองที่คุณคาดว่าจะไปจริงๆ นะคะ 
เพราะเขาถามแน่นอนว่าไปเมืองไหน อาจจะถามด้วยว่าไปทำอะไร ถ้าเที่ยวก็ไม่ยาก บอกไปเลย 
ชอบเมืองนี้ จากหนัง จากทีวี / ชอบธรรมชาติ ก็ว่าไปเถอะ
485*125

- ไปคนเดียวแบบเรา ทำยังไงดี
อืม ช่วยอะไรไม่นอกจากต้องตอบคำถาม ไฟท์ให้ได้ค่ะ ทำให้เขาเชื่อว่าเราจะเที่ยวคนเดียวได้ มีความรู้เอาตัวรอด และจะกลับมา 
เพราะเราเห็นเขาบอกไม่ให้เราไป แต่ก็ไม่คืนพาสปอร์ตสักที ก็ถามๆ ไปเรื่อยๆ ก็เลยสาธยาย ถามนู่นกลับ นี่กลับ ให้เห็นว่าเราต้องไปได้สิ

-  อะไรอีก... ลืม สงสัยอะไรก็ถามละกันนะคะ
.
.
.
.
.
และด่านสุดท้ายก่อนเข้าประเทศ 

ตม.
ขอพูดและย้ำตรงนี้เลยว่า ถ้าหน้าตา ชีวประวัติคุณไม่ได้น่าสงสัยอะไรมาก เขาไม่ถามอะไรคุณหรอก

เรานี่เตรียมตอบคำถามดิบดี ไปถึงปั๊ม ปั๊ม แสกน เซ็นแกรกๆ จบ!

เดี๋ยวนะ ถามหน่อยสิ อยากพูดภาษาอังกฤษ

Saturday, November 5, 2016

ตะลอนกับทัวร์ Penang - Kuala - Singapore 1st Time

ทริปปีนัง - กัวลาลัมเปอร์ - สิงคโปร์ นี้ เป็นทริปครั้งแรกของชีวิต และทริปครั้งที่ 2 ในชีวิตที่ได้เดินทางไปต่างประเทศ  แต่ในใจไม่เคยมีความคิดอยากไปมาก่อนเลยนะ รู้สึกมันมีอะไรให้ดู นอกจากช้อป หรือพวก Attraction มันไม่ใช่สไตล์ของเรา แต่ด้วยความที่แม่ไปดูงาน เราก็กลัวแม่ไม่ไหว ไหนๆ ก็ลองไปเปิดหูเปิดตาด้วยเลยแล้วกัน  เราเริ่มด้วยการหาข้อมูล เพราะกะว่าตอนเขาทำงานกัน เราจะแวบ ฮ่า ฮ่า ไปเดินเล่นแถวนั้น แต่พอถึงเวลาก็ไม่ได้แวบค่ะ เพราะมันเป็นการดูงาน ไม่ได้มีประชุมอะไร เน้นร่วมกิจกรรมด้วยกันกับเด็กอาร์ตที่มหาวิทยาลัยที่ปีนัง แลกเปลี่ยนความรู้กันมากกว่า เราอยากรู้อยากเห็นเลยนั่งร่วมอยู่ด้วย ก็ดีค่ะ สนุกดี เหมือนไปค่ายศิลปะ 

วันแรก :: เครื่อง Air Asia ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอน 7.45 น. จำต้องแหกตาตื่นกันแต่ตี 3 เลยทีเดียว บินไปลงที่ปีนัง ปกติต้องกรอกใบนู่นใบนี่เต็มไปหมด แถมงงกับภาษาอังกฤษอีกแน่ะ ว่าจะให้กรอกคำตอบแบบไหนกันแน่ แต่ครั้งนี้ไปกับทัวร์ (มันสบายอย่างนี้นี่เอง...) ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นค่ะ เดินตามที่เขาบอกอย่างเดียว กิน นอน นั่งรถ เที่ยว ถ่ายรูป ครั้งนี้ก็เดินชิลล์ๆ ไปผ่านตม.แบบชิลล์ๆ พร้อมลากกระเป๋าเก๋ๆ ไม่ต้องเหนื่อย ต้องหนักสักกะแอะไปวางไว้ข้างรถทัวร์ ที่เหลือก็มีคนมาจัดการให้ มาถึงที่ปีนังประมาณ 9.15 น.ค่ะ ถ้าเป็นเวลาของมาเลเซียก็ปรับนาฬิกาเป็น 10.15 (GMT +8)

IMG_3864

Nice Building on the way

IMG_3862

IMG_3861


มาถึงก็เริ่มเที่ยวเลยค่ะ ที่แรกคือ Museum ซึ่งที่มาเลเซียจะเห็นว่าเขาใช้ z นะ เป็น Muzium ทุกทีเลย เห็นทุกทีจนเราก็แอบสงสัยว่าหรือเราเรียนภาษาอังกฤษมาผิดวะ? ที่เราไปคือ Muzium Negeri Palau Pinang ค่ะ ก็เหมือนมิวฯ ประจำจังหวัดค่ะ มีบอกเล่าเรื่องราวของปีนัง ที่มาที่ไป วัฒนธรรม สังคม ศาสนา โบราณวัตถุทั้งหลายก็พอมีอยู่บ้าง
IMG_3882IMG_3865

เที่ยงปุ๊บทานอาหารกลางวัน เป็นร้านอาหารริมทะเลค่ะ ตัวปีนังเป็นเกาะไม่ใหญ่ค่ะ แล้วตัวอำเภอเมืองของปีนัง คือ Georgetown ก็ไม่ใหญ่อีกนั่นแหละ ขับไปร้านอาหารก็วนไปวนมาเจอที่เดิมๆ ค่ะ คาดว่าถ้าอยู่สัก 3 วัน เที่ยวครบทุกซอกทุกมุมแน่นอน บ่ายเราก็ไปเที่ยวต่อกันที่ วัดเขาเต่าก็เป็นทางเดินขึ้นเขา ระหว่างทางก็มีของขาย ถ้าเทียบก็อารมณ์แม่สายบ้านเราเมื่อก่อน ที่จะมีซอยนึงเป็นทางขึ้นวัดอะไรสักอย่าง ระหว่างก็ขายของ ดูมึดๆ ทึบๆ ฟีลพาหุรัด สำเพ็งสุดๆ แต่คนแถวนี้ค่อนไปทางผิวดำและหน้าตาแขกๆ ดูน่ากลัวมากค่ะ (ถ้าออกไปทางคนจีน ขาวหน่อย อาจจะดูไม่น่ากลัวเท่านี้) ขึ้นไปบนวัดก็ไปถ่ายรูปค่ะ ไม่ได้ไหว้พระอะไรกับเขาหรอก ... แต่วัดนี่สิคะ เห็นมีพวกคนขอทานเต็มไปหมด น่ากลัวมากๆ อีกแล้ว เพราะไม่ใช่ขอทานเปล่าๆ แต่เป็นขอทานที่สูบบุหรี่ หน้าตาโหดๆ ตอนแรกกะจะไม่เดินผ่านไปแล้วนะนั่น น่ากลัวจริงๆแต่บนวัดวิวสวยค่ะ วัดจีนก็สวยค่ะ แต่ไม่ได้แปลกใหม่อะไรเท่าไหร่ ไอ้ที่ว่าเต่าเยอะ บ้านเราบางวัดเยอะกว่าทั้งเต่าทั้งหมาเลย อ้อ คนขายผักบุ้งให้เต่าพูดไทยได้ด้วยนะเออ

IMG_3953

ลงจากวัดมาต่อที่ Penung Hill ค่ะ ก็ได้อารมณ์ The Peak ที่ฮ่องกง หรือดอยสุเทพพวกนี้ดีค่ะ ขึ้นรถราง (เขาเรียกอะไรนะ?) Cable Car รึเปล่า? ทำนองนี้ล่ะค่ะ สูงเอาการอยู่ ระหว่างก็มีผ่านอุโมงค์แอบตื่นเต้น วู้ยๆ ! มีผ่านอุโมงค์มืดๆ ด้วย เท่ห์อยู่เหมือนกันนะเนี่ย แต่ที่สำคัญ คนเบียดมากค่ะ เบียดชนิดจะตกทะลุหน้าต่างออกจาก Cable car เลยทีเดียว ... มันน่าจะจำกัดคนบ้างนะ ขึ้นไปแล้วก็เห็นวิว Georgetown ทั้งหมดเลยค่ะ สวยดีอยู่ มีเรือขนสินค้า มีสะพานเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ ได้เห็นเหยี่ยวบินร่อนไปมาอยู่ด้านล่างค่ะ ถือว่าจุดชมวิวนี้สูงอยู่เหมือนกันนะเนี่ย
ตกเย็นไปทานอาหารที่ริมทะเลเลยค่ะ เป็นทะเลออกแนวบางขุนเทียนบ้านเรานะ เป็นแนวป่าชายเลนค่ะ มีปลาตีนด้วย ไม่รู้ว่าปลาตีนสัญชาติมาเลเซียจะพันธุ์เดียวกับที่บ้านเรารึเปล่า จากนั้นก็เข้าที่พักที่ Cititel Hotel ห้องไม่ใหญ่มากค่ะ แต่ก็มีที่เดินไปมา ห้องน้ำก็มาตรฐานค่ะ  คืนนี้ดูทีวี...อืม บ้านเขาก็มีช่องสถานีหลากหลายอยู่นะ ทั้งภาษาไทย จีน อังกฤษ ละครบ้านเขา ฟังไม่รู้เรื่องนะคะ แต่ภาพและสี อารมณ์คล้ายๆ ละครบ้านเราเนี่ยแหละ เหมือนพวกกล้องธรรมดา ใช้แสงไฟขาวๆ (ภาพจะไม่ได้นวลๆ นุ่มๆ เหมือนทาง series ฝรั่งเท่าไหร่) แต่ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ เลยเปลี่ยนไปฟังพวกรายการเพลงแทน แล้วก็เปลี่ยนไปดู CSI Miami ค่ะ (อุตส่าห์มาถึงมาเลฯ ยังดู CSI อยู่อีก ! ) < จากหน้าโรงแรมถ่ายบรรยากาศ


IMG_4090

IMG_4091
White and red cab

IMG_4117

วันที่สอง ::
วันนี้ไปสัมมนาที่ USM [Universiti Sains Malaysia] ค่ะ มหาวิทยาลัยใหญ่ดี ที่ชอบคือ 'ร่มรื่น' ค่ะ มีต้นไม้ใหญ่ตลอดทาง มีที่ว่างคือมีสวน ต้นไม้ใหญ่ และที่นั่ง ตึกเรียนก็เยอะทีเดียว ได้ไปดูคณะด้าน Arts ค่ะ มีเปิดอยู่ 4 ภาค Theater / Music / Fine Arts / แล้วอะไรอีกอย่าง จำไม่ได้แล้ว เรียน 3 ปีจบ ในราคาที่เรียกว่า ถูกกว่าม.เอกชนบ้านเรามากค่ะ ได้ดูพวกคอร์สเรียนด้านนี้ ก็ค่อนข้างครบและทันสมัยนะคะ จะออกแบบกราฟฟิค อนิเมชั่น ด้านภาพยนตร์เนี่ย...ยังไม่เห็นค่ะ เน้นไปทางละครเวทีมากกว่า มีเหมือนหอประชุมของคณะใหญ่อยู่ค่ะ แล้วเห็นมีเด็กนักเรียนมาทำงาน เตรียมแสดงงานพวกภาพเขียนอยู่นะ

IMG_4133ที่ชอบอีกอย่างหนึ่งนอกจากสถานที่คือ การเรียนการสอนค่ะ พร้อมพอสมควร แต่ถ้าจะบอกว่าทันสมัยเท่าอเมริกาคงไม่ใช่ ที่สำคัญคือได้คุยกับนักเรียนที่นี่ แม่เจ้า! คิดเป็นระบบ และค่อนข้างเปิดกว้างมากค่ะ คาดว่ามีผลมาจากระบบการศึกษาทั้งหมดของเขา ค่อนข้างจะเปิดกว้างด้านการแสดงความคิดเห็น และเปิดโอกาสให้เด็ก  ได้เจอเด็กไทยคนนึงมาเรียนที่นี่ค่ะ ตอนแรกก็แบบไม่อยากมา แต่พอได้อยู่สักพักแล้วชอบ แถมตอนนี้เขายังพูดได้ทั้ง ไทย อังกฤษ มาเลย์อีกต่างหาก ... 

เราสงสัยการเรียนการสอนเขาอย่างหนึ่งค่ะ เพราะให้เด็กมุสลิมคนนึงวาดรูป แล้วพูดถึงโบสถ์ เจย์ดีในบ้านเรา เขาไม่รู้จักค่ะ ไม่รู้จักเลยสักนิด เลยสงสัยว่าเขาไม่เรียนเกี่ยวกับชาติอื่น ศาสนาอื่นเลยเหรอ เพราะตอนเราเรียนสังคม เรายังเรียนศาสอิสลาม ซิกข์ ฮินดู เรียนว่ามาเลชุดประจำชาติเป็นยังไง พม่าชุดประจำชาติเป็นยังไง อ้อ! เด็กที่นี่เรียน 3 ภาษาด้วยค่ะ ตั้งแต่เด็กเลยนะ มาเล - อังกฤษ - อารบิค หรือ จีน ส่วนใหญ่มุสลิมจะเรียนอารบิค (ถ้าจำไม่ผิด ภาษาที่เอาไว้อ่านคัมภีร์) คนจีน (ซึ่งเป็นประชากรส่วนมากของที่นี่) ก็จะพูดจีนได้ เรียกว่าถ้ามา พูดอังกฤษไม่ได้ แต่พูดจีนได้ก็รอดตายอ่ะ


วันนี้ตลอดทั้งวันไม่ได้เที่ยวไหนเลยค่ะ อยู่ที่มหาวิทยาลัยตลอด แต่ก็ดีนะคะ ได้เรียนรู้ เห็นการศึกษาของมาเลย์ ถือว่าดีเลยทีเดียว ถ้าเด็กไทยไม่อยากไปไกล ลองมาเรียนแถวมาเลย์ สิงคโปร์ก็ดีนะคะ ไม่แพงมาก แล้วไกด์ท้องถิ่นบอกว่าสังคม ความปลอดภัยที่นนี่ ค่อนข้างโอเคเลย เพราะกฎหมายเขารุนแรงค่ะ ยิ่งกฎหมายมุสลิม ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟันค่ะ

IMG_4210
Student project - these are introduction boards, students tell about themselves

IMG_4272
Large pictures I want to 'stole' ... haha

วันที่สาม ::
เดินทางไปกัวลาลัมเปอร์แต่เช้า (ตามแพลนนะ) เอาเข้าจริง ก็กว่าจะออก 10 โมง เดินทางโดยรถบัสกว่า 5 ชั่วโมง แวะทานอาหารกลางทาง ร้านอะไรจำชื่อไม่ได้ ร้านนี้จะสะสมของเก่าค่ะ ตอนแรกนึกว่าไม่ใช่ร้านอาหาร เห็นนาฬิกาเก่าๆ กาน้ำชาแบบสนิมเกาะ ดูไปก็คลาสสิคดี อาหารอร่อยใช้ได้เลยค่ะ ได้ทานขนมปังที่รสชาติคล้ายปาท่องโก๋กับแกงกุ้ง (เขาเรียกอะไรจำชื่อไม่ได้) อร่อยดีค่ะ แอบซัดไปเกินโควต้าอยู่
IMG_4435
ไปถึง KL ก็ไป Muzium ค่ะ รู้สึกเป็นหอศิลป์ที่สำคัญของที่นี่เลย ตอนที่ไปงานที่จัดมีทั้งศิลปินในประเทศ และศิลปินจากประเทศอะไรนะ? แถบอเมริกาใต้ค่ะ (ไว้นึกชื่อออกจะมาบอก) แล้วก็วิ่งเข้าสู่ตึกแฝด หรือตึก KLCC ตึกที่เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกค่ะ แล้วก็เข้าที่พักที่ Cititel Express 

ตึก KLCC ด้านล่างเป็นห้างสรรพสินค้า มีงานนิทรรศการศิลปะที่ชั้น 3 ด้วยค่ะ ไม่ได้ขึ้นไปตรงทางเชื่อมตึก มันต้องเสียเงินด้วย

IMG_4480



IMG_4548

IMG_4553
Traffic jam in rush hour like other cities

วันที่สี่ :: 

ตื่นเช้ามาทานอาหารบุฟเฟ่ต์ที่ห้องอาหารโรงแรม เฉยๆ ค่ะ อาหารที่ปีนังดูหลากหลายและดีกว่า แต่จขบ.ไม่ทานเยอะอยู่แล้ว เลยไม่เครียดเท่าไหร่ (แต่ถ้าอร่อยและหลากหลายกว่านี้ก็ดี) เช้านี้ฝนลงปรอยๆ ตลอดเช้าเลย เล่นเอาคืนนั้นทานยาแก้ไขไปเหมือนกัน เพราะเริ่มปวดหัว กลัวไม่ไหว
สถานที่แรกที่ไปแวะเยี่ยมชมก่อนจะไปสิงคโปร์ คือ วังของสุลต่าน ค่ะ ใหญ่ไหม? ก็ใหญ่นะ แต่ตอนที่รถสุลต่านวิ่งออกมา ขบวนไม่ได้ใหญ่โตอะไร มีมอไซค์ตำรวจนำไม่กี่คัน รถตามอยู่คันเดียวเอง

จากนั้นนั่งรถไปสิงคโปร์เลยค่ะ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ไกด์บอกว่าที่นี่จะโหดกว่ามาเลเซีย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ ไกด์แนะนำมาว่าให้เข้าช่องที่เป็นจนท.เพศตรงข้าม เขาจะใจดีนิดนึง เราเดินผ่านไปก็ยิ้มอย่างเดียวค่ะ ยิ้มเข้าไว้... แต่ดันรถทัวร์มีปัญหาค่ะ เพราะคนขับเป็นคนแขกอินโด ช่วงที่ไปสิงคโปร์มีปัญหาเรื่องแขกลักลอบเข้าเมือง เอาของลักลอบไปขายพอดี เขาเลยระวัง และตรวจรถเป็นพิเศษมากๆ นานเกือบชั่วโมงเลย พอพ้นด่านตรวจคนเข้าเมืองมาไม่นานก็เข้าสิงคโปร์ค่ะ


ในสิงคโปร์ ทิวทัศน์จะมีตึกรามบ้านช่องเต็มไปหมด เรียกว่าเต็มพื้นที่อ่ะ แต่เขาจะมีต้นไม้ตลอดริมฟุตบาทเลยค่ะ แม้จะดูเป็นตึกๆ แต่ร่มรื่นอยู่นะ ไม่ได้ให้ฟีลสยามบ้านเรา หรือ Time Square ร้อนๆ แดดเผาเท่าไหร่ (แต่วันต่อมา ร้อนเอาการค่ะ)


กว่าจะถึงสิงคโปร์เย็นแล้วค่ะ แสงรำไร คนขับก็พาเราไปส่งขึ้นรถไฟฟ้าตรงห้าง Vivo เพื่อไป Sentosa ค่ะ ไปทานอาหารที่นี่ วิวสวย อาหารอร่อยอยู่ มีโต๊ะข้างๆ ทานเป็นคล้ายๆ บุฟเฟ่ต์ชาบู คนละหม้อเลย น่าทานอยู่เหมือนกัน แล้วก็ไปดูพวกไฟลท์บังคับ Wax Museum / Tiger Sky Tower ภาพ 360 องศาก็สวยดีค่ะ เห็นสิงคโปร์เกือบทั้งเกาะเลยทีเีดียว / Movie 4D เป็นกัปตัน Jack Sparrow แบบเก๊ๆ ก็คล้ายๆ ป๋าเดปป์อยู่เหมือนกัน / Song of the Sea 



คืนนั้นเข้าพักที่ Peninsula Excelsior Hotel ค่ะ เรียกว่าโรงแรมหรู และย่านที่พักดีมากๆ ใจกลางเมือง แถมเป็นห้างใหญ่ ใกล้ MRT City Centre คืนนี้เลยได้แรดกับเขาสักทีค่ะ

ตอนกลางคืนเดินเล่นไปเรื่อยๆ ไม่มีแผนที่อะไรทั้งนั้น กะออกมาถ่ายรูปไฟกลางคืน ชิลล์ๆ หาอะไรทานหน่อย เจอโบสถ์ถ่ายไปเรื่อยๆ จนมองเห็นไฟแวบๆ ไกลๆ ว่าเป็นเจ้าหนามทุเรียนนี่เอง เลยเดินตรงดิ่งไปเลยค่ะ ชนิดตัดตรง ทะลุสนามบอล สวนสาธารณะ ตอนนั้นมันมืด มองเห็นลางว่ามีทางเดิน แต่ไม่รู้ออกได้รึเปล่า แต่คิดกับแม่ว่า เดินไปก่อนละกันเห็นมีคนนำหน้าอยู่ ก็ตามๆ เขาไป ไม่ใช่ก็เดินย้อนกลับเอา สรุปไปถึงจนได้ค่ะ ก็เลยได้วิวตอนกลางคืนมา ขาตั้งก็ไม่แบกไป สั่นมากๆ 


St. Andrew's Cathedral อยู่ตรง MRT City Centre พอดีเลยค่ะ


Esplanade เดินจากโบสถ์ คือมองหาทิศเจ้านี่ แล้วตรงมาเรื่อยๆ ผ่าน War memorial 
ตัดสนามกีฬา ลอดอุโมงค์ไปถึงด้านหน้าเลย
วันที่ห้า ::

วันนี้รถพาขับวนไปวนมาชมเมือง แล้วมาจอดตรงใต้สะพานที่เราไปกันเมื่อคืนค่ะ แล้วก็ไปถ่ายรูป 
Singapore Flyer / Merlion แบบสว่างๆ ตามระเบียบ


หัวมุมโรงแรม Hill St. ตัดกับ Coleman St. เหมือนจะเป็น Police Station หรือ Fire Department เนี่ยแหละค่ะ เป็นตึกที่สวยมากเลยค่ะ (หลายตึกๆ ที่นี่สร้างได้มีลูกเล่น สวย มีเอกลักษณ์ ถูกหลักฮวงจุ้ยดี)




จากนั้นไปชม National Gallery Art Museum ของที่นี่ค่ะ ใหญ่โต นิทรรศการใช้ได้เลย แถมมีเด็กๆ มาทัศนศึกษาด้วย ทีตอนเด็กๆ เราไม่เห็นได้ไปทัศนศึกษาอย่างนี้บ้างเลย วันๆ เรียนอยู่แต่ในห้อง ถ้าพ่อแม่ไม่พาไป คงไม่เคยเที่ยว


พอดีเจอคนที่รู้จักกันพาไปทานอาหารค่ะ ไปทาน Ice Kajung อารมณ์น้ำแข็งไสบ้านเราเนี่ยแหละ อร่อยอยู่นะ แต่เผอิญไม่กินถั่วแดง เลยไม่ได้รสที่แท้จริงของมันเท่าไหร่ แล้วก็ทานอาหารเที่ยง หลังมือเที่ยวรถทัวร์ก็พาปล่อยไว้ที่ Orchard ค่ะ

แต่กว่าจะได้มาที่นี่ก็บ่าย 2 กว่าแล้วล่ะ แพลนตอนแรกกะช้อปเต็มที่ แต่ต้องออกตอน 5 โมง พาแม่ไปดู Kinokuniya ที่ใหญ่ถูกใจแม่ลูกมากๆ เลยหลงอยู่ในร้านหนังสือนานมากๆ (เป็นแบบนี้ประจำ) พอถึงคิวช้อป โอ้ว! กว่าจะเดินทั่ว ให้เดินแถวนี้ทั้งวันก็เดินได้ค่ะ ถนนยาว และของช้อปเยอะมากๆ แต่ก็จะออกเป็นแบรนด์เนมแพงนิดนึง แต่ลานของห้างแถวนั้นหลายห้างเซลล์เยอะเลยค่ะ กะช้อปแล้ว แต่พอดีเรื่องมาก เลือกไปเลือกมาหมดเวลา เดี๋ยวตกเครื่อง เลยไว้มาช้อปทีหลังละกัน แต่่...ของช้อปที่นี่ถ้าไม่ใช่หน้าเซลล์ก็ไม่ถูกเท่าไหร่นะคะ อาจจะขอคืน TAX ได้เล็กน้อย 

จขบ.ว่า outlet แถว HK น่าช้อปมากกว่าค่ะ ถ้าแบรนด์ที่จำหน่ายเฉพาะในสิงคโปร์ก็สวยดีค่ะ แต่ดูราคาแล้ว สู้ช้อปแบรนด์ไทยราคาพอๆ กันดีกว่า เงินไม่รั่วไหล สุดท้ายเราก็ตายรัง มาช้อปแพลทตินั่ม เจเจเหมือนเดิม

มาถึงสนามบินสิงคโปร์ เคาเตอร์ Air Asia คนไม่มากเท่าไหร่ค่ะ มีแต่แถวที่ไป BKK เนี่ยแหละคนยาว จนเคาเตอร์ที่ไปที่อื่นต้องช่วยกันเปิดเช็คอินกระเป๋า ก็ดีนะคะ รวดเร็วทันใจดี พอเข้า Duty Free เวลาเหลือเยอะมากค่ะ เลยเดินเล่น แต่ของช้อปไม่มากเท่าไหร่ แม่เลยคว้าเครื่องสำอางค์ปลอบใจที่ไม่ได้ช้อปอะไรในเมืองเลย SK-II ถูกกว่าเมืองไทยเกือบครึ่งค่ะ ถูกใจมาก ถ้าราคาเครื่องสำอางค์บ้านเราถูกกว่านี้คงจะดี ไม่รู้จะอัพเกรดราคาอะไรกันหนักหนา

เครื่อง Air Asia FD3506 ลงจอดเมืองไทยเร็วกว่าเวลาที่้กำหนดเล็กน้อยค่ะ ถึงประมาณ 5 ทุ่มนิดๆ (ตามเวลาเมืองไทย) แต่รอกระเป๋านานมากๆ ค่ะ รอจนเมื่อยเลย กว่าจะถึงบ้านก็เกือบตีหนึ่ง นอนไม่หลับ สุดท้ายเลยนั่งโหลดรูปลงคอมจากกล้องจนเกือบเช้า